
ในปัจจุบันไม่ค่อยได้มีการทำการผ่าตัดต่อมทอนซิลในเด็กกันมากเหมือนแต่ก่อน
ทั้งนี้เพราะมีการวินิจฉัยทอนซิลอักเสบและมีการใช้ยาปฏิชีวนะในการรักษาทอนซิลอักเสบ
กันมากขึ้น ทำให้การติดเชื้อที่ทอนซิลหายได้เร็วขึ้น และไม่ค่อยพบโรคแทรกซ้อนมาก
เหมือนเมื่อก่อน อีกทั้งความรู้ความเข้าใจของคุณพ่อคุณแม่ และแพทย์ผู้ดูแลเกี่ยวกับ
การรักษาทอนซิลอักเสบที่ถูกต้องก็ดีขึ้นด้วย ทำให้มีความจำเป็นในการทำผ่าตัด
ต่อมทอนซิลน้อยลง
-
การติดเชื้ออักเสบของทอนซิลเป็นอย่างไร ?
ทอนซิลเป็นต่อมน้ำเหลืองที่อยู่เป็นก้อน เห็นได้ชัดในคอ ซึ่งมีส่วนการดักจับเชื้อโรค
ที่ผ่านเข้ามาทางการรับประทานอาหาร และทางเดินหายใจ และช่วยในการสร้างภูมิคุ้มกัน
(แอนติบอดี) ต่อเชื้อโรค แต่ถึงแม้ทอนซิลจะมีหน้าที่ต่อสู้กับเชื้อโรค และเกิดการติดเชื้อ
ที่ทอนซิลขึ้นได้ ซึ่งจะแสดงออกโดยรู้สึกเจ็บคอ มีไข้ ทอนซิลมีขนาดโตขึ้น และแดงอักเสบ
หรือมีหนองที่ทอนซิล เวลากลืนจะรู้สึกเจ็บ บางครั้งจะพบต่อมน้ำเหลืองที่ข้างคอโตด้วย
-
ผลแทรกซ้อนของการติดเชื้อทอนซิลอักเสบคืออะไร ?
ในอดีตเมื่อประมาณ 20 กว่าปีที่ผ่านมาพบว่า การติดเชื้ออักเสบของทอนซิล
ด้วยเชื้อโรคบางชนิด เช่น เชื้อสเตรปโตคอกคัส กรุ๊ป เอ (Group A Streptococci)
สามารถทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนเกี่ยวกับหัวใจได้ในภายหลัง คือ โรคไข้รูห์มาติค
และโรคหัวใจรูห์มาติค มีปัญหากล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ และลิ้นหัวใจตีบจากการที่มี
การติดเชื้อสเตรป กรุ๊ป เอ นี้บ่อยๆ ที่ทอนซิล แต่ในปัจจุบัน เนื่องจากมีการดูแล
ทางการแพทย์และยาปฏิชีวนะที่ดี ทำให้การรักษาการติดเชื้อสเตรป นี้ทำได้ดีขึ้น
จึงไม่ค่อยพบปัญหาโรคไข้รูห์มาติค และโรคหัวใจรูห์มาติค มากเหมือนเมื่อก่อน
นอกจากนี้ก็มีบางรายงานของการติดเชื้อสเตรป ที่ทอนซิล ชนิดที่เป็นเชื้อลุกลามเร็ว
หรือดื้อยา ที่สามารถทำให้เกิดการอักเสบเป็นฝีหนองในบริเวณช่องคอ (Peritonsillar abscess)
ได้อย่างมาก ทำให้เกิดการติดเชื้อรุนแรงเข้าสู่กระแสเลือด (Sepsis) และเป็นอันตราย
ต่อคนไข้ได้
เนื่องจากต่อมน้ำเหลืองที่บริเวณในลำคอนี้มีอยู่เป็นจำนวนมาก จึงได้มีการแบ่งกลุ่ม
ของทอนซิล ออกตามตำแหน่งที่อยู่ในลำคอ เป็น 3 อย่างคือ
กลุ่มที่ 1 อยู่ในคอที่เห็นเป็นลูกอยู่ 2 ข้างของในคอ เรียกว่า พาลาทีน
ทอนซิล (Palatine tonsils)
กลุ่มที่ 2 ได้แก่ ต่อมทอนซิลที่อยู่ที่ตำแหน่งโคนลิ้น (มองไม่เห็นจากการดูคอ)
ที่เรียกว่า ลิงก์กัวล์ ทอนซิล (Lingual tonsils) และ
กลุ่มที่ 3 คือต่อมที่อยู่เหนือเพดานอ่อนในคอที่เรียกว่า ต่อมอะดีนอยด์ (Adenoid)
หรือที่เรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า นาโสฟาริงก์เจียลทอนซิล (Nasopharyngeal tonsils)
ซึ่งพบว่าในการติดเชื้ออักเสบของทอนซิลนั้นมักจะมีการอักเสบร่วมกันทั้ง 3 ตำแหน่งนี้
และทำให้ต่อมต่างๆ นี้มีขนาดใหญ่ขึ้นมากจนทำให้เกิดการอุดตันของทางเดินหายใจส่วนบน
ทำให้หายใจไม่สะดวก มีเสียงหายใจดัง นอนกรน และไอเรื้อรัง ทำให้ในหลายราย
ที่ทำการผ่าตัดทอนซิล จะมีการทำการผ่าตัดต่อมอะดีนอยด์ ออกไปด้วย เพื่อช่วยให้การหายใจ
ของเด็กดีขึ้น
การตรวจดูว่าต่อมอะดีนอยด์ที่มีตำแหน่งอยู่เหนือเพดานอ่อนในช่องโพรงจมูก
มีขนาดโตมากแค่ไหน นอกจากจะใช้การดูลักษณะการหายใจค่อนข้างจะเสียงดังแล้ว
จะสามารถดูได้จากการทำเอกซเรย์ดูต่อมอะดีนอยด์ว่ามีขนาดโตจนปิดบัง
ช่องทางเดินหายใจส่วนบนมากแค่ไหน ซึ่งแพทย์มักจะทำการตรวจเอกซเรย์เพื่อประเมิน
ก่อนการพิจารณาแนะนำให้ทำการผ่าตัด
คำถามที่คุณพ่อคุณแม่มักจะถามก็คือว่า หากเอาต่อมทอนซิลหรือต่อมอะดีนอยด์ออกแล้ว
จะทำให้ภูมิต้านทานของลูกลดลงหรือลูกจะติดเชื้อง่ายขึ้นหรือไม่ ซึ่งความจริงแล้วต่อมทอนซิล
และต่อมอะดีนอยด์ มีส่วนในการสร้างภูมิคุ้มกันโรคในเด็กเล็กอายุประมาณ 1-3 ปี
หลังจากนั้นหน้าที่ของต่อมทอนซิลและอะดีนอยด์จะลดลง และร่างกายยังมีอวัยวะอื่นๆ
ที่ช่วยในการสร้างภูมิคุ้มกันโรคอีกมาก เช่น ระบบต่อมน้ำเหลือง ต่อไทมัส และม้าม เป็นต้น
ฉะนั้นการผ่าตัดต่อมทอนซิลและอะดีนอยด์ออกจะไม่ทำให้ภูมิต้านทานโรคเปลี่ยนแปลง
-
ข้อบ่งชี้ในการพิจารณาทำการผ่าตัด
ในปัจจุบันเนื่องจากมียาปฏิชีวนะที่ดี สามารถรักษาการติดเชื้อของทอนซิลให้หายได้
จึงไม่ได้แนะนำให้ทำการผ่าตัดต่อมทอนซิลกันมากเหมือนสมัยก่อน แต่ในบางรายที่มีข้อบ่งชี้
เช่น มีการติดเชื้อทอนซิลอักเสบบ่อย 6-7 ครั้งในหนึ่งปี หรือมีการอักเสบของทอนซิลแบบเรื้อรัง
เป็นๆ หายๆ อย่างน้อย ประมาณ 5 ครั้งต่อปี เป็นเวลามากกว่า 2 ปี หรือพบว่า ทอนซิลมีขนาดใหญ่
และทำให้เกิดการอุดตันของทางเดินหายใจส่วนบน ทำให้นอนกรน หายใจเสียงดัง
ในบางรายทำให้เกิดการหยุดหายใจเป็นช่วงๆ (ที่เรียกว่า Obstructive Sleep Apnea)
เด็กจะเหมือนนอนหลับไม่สนิท และมีปัญหาไปนอนหลับในห้องเรียน เรียนไม่รู้เรื่อง
ขาดเรียนบ่อยๆ และต้องทานยารักษาบ่อยๆ ก็เป็นข้อบ่งชี้ว่าควรทำการผ่าตัดทอนซิล
(และต่อมอะดีนอยด์ที่โต)
-
การผ่าตัดทอนซิลทำอย่างไร ?
โดยทั่วไปอาจทำการผ่าตัดแบบสามารถกลับบ้านได้ในวันเดียวกัน หรือในเด็ก
มักจะแนะนำให้อยู่เพื่อสังเกตอาการหลังผ่าตัดอีก 1 คืน เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีผลแทรกซ้อนอื่นๆ
การผ่าตัดทำโดยการดมยา ให้เด็กหลับก่อน โดยวิสัญญีแพทย์ (หมอดมยา)
จากนั้นแพทย์ผู้ทำผ่าตัด (หมอ หู คอ จมูก) จะทำผ่าตัดเอาต่อมทอนซิลทั้ง 2 ข้างของลำคอ
หรือบริเวณใบหน้าเลย ขั้นตอนการผ่าตัดนี้ใช้เวลาไม่นาน คือประมาณครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น
หลังจากนั้น เด็กจะตื่นจากการดมยา และสามารถหายใจเองได้
ปัญหาแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นก็คือ การเลือดออกตรงบริเวณที่ทำผ่าตัดไว้
แต่ส่วนใหญ่แล้ว แพทย์ผู้ทำผ่าตัดจะตรวจเช็กจนแน่ใจว่าได้ห้ามเลือดในบริเวณนั้น
จนเรียบร้อยก่อนที่จะนำคนไข้ออกมาจากห้องผ่าตัด
-
ระยะพักฟื้นหลังการทำผ่าตัดทอนซิล
ในช่วงแรกของการพักฟื้น อาจจะยังมีอาการเจ็บคอ และไม่อนุญาตให้ทานอาหารแข็ง
แต่จะสามารถดื่มน้ำหรือทานซุปใสๆ ได้ ในเวลาต่อมาก็ทานเป็นอาหารอ่อน เช่น โจ๊ก
ข้าวต้มเละๆ และเริ่มเป็นอาหารปกติได้ในวันต่อๆ มา
ในช่วง 3-4 วันแรกหลังผ่าตัดคุณพ่อคุณแม่ผู้ดูแลเด็กก็ต้องคอยระวังอย่าให้เด็ก
เอานิ้วแยงในคอ หรือตะโกน เค้นคอมาก หรือแปรงฟันแรงและลึกเกินไปกระแทกถูกในคอ
อาจทำให้เกิดเลือดออกได้ นอกจากนั้นแล้วก็ไม่น่าจะมีปัญหาอื่น เรื่องการติดเชื้อแทรกซ้อนนั้น
ก็พบได้น้อยมาก แพทย์มักจะสั่งการรักษาและให้ยาปฏิชีวนะควบคุมไว้ตอนให้กลับบ้านอยู่แล้ว
ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์ที่แผลจะหายสนิท
(update 28 กันยายน 2001)
[ที่มา..หนังสือ
นิตยสารใกล้หมอปีที่ 25 ฉบับที่ 5 พฤษภาคม 2544 ]
|