สโตรค คืออะไร ?
สโตรคเป็นภาวะที่คุกคามชีวิตเนื่องจากส่วนของสมองไม่ได้รับออกซิเจนอย่างพอเพียง
การขาดออกซิเจนนี้มีกลไกเกิดได้ 2 ทางคือ
1. เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมองตีบตัน หรือมีลิ่มเลือดมาอุด เรียกว่า ภาวะ cerebral ischemic
หรือ ischemic stroke
2. เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมองแตก (cerebral hemorrhage)
ปัจจุบันนี้แพทย์และทีมงานต้องตระหนักและเข้าใจในบทบาทของตนเมื่อมีคนไข้สโตรคมาถึงโรงพยาบาล
เหตุเพราะว่าพวกเขาจะถูกท้าทายมาก เนื่องจากโรคนี้ในสมัยนี้ต้องรีบให้การรักษาอย่างจำเพาะในทันที
เพื่อจะได้ปกป้องเนื้อสมองไม่ให้เสียหายถาวร นอกจากนี้ คนไข้สโตรคอาจมีปัญหาหายใจลำบาก
ก็ต้องดูแลให้ดีโดยการใส่เครื่องช่วยหายใจ ให้ยาลดไข้เมื่อมีไข้ สั่งการตรวจต่างๆ
เพื่อให้ทราบสาเหตุของสโตรคครั้งนั้น
สถิติของสโตรคในประเทศไทยที่แท้จริงยังไม่ปรากฏแน่ชัด แต่ถ้าท่านผู้อ่านไปออกกำลังในสวนสาธารณะต่างๆ
เช่น ที่สวนลุมพินี ก็จะได้เห็นผู้ที่ไปใช้สถานที่หลายคนนั่งรถเข็นเพราะเดินไม่ไหวหรือที่เดินไหวก็ต้องมีคนประคอง
หรือเดินโดยอาศัยไม้เท้า ลักษณะจะคล้ายๆ กันคือมีอัมพาตเกิดขึ้นที่ซีกใดซีกหนึ่งของร่างกาย คนเหล่านี้
คือผู้เคราะห์ร้ายเนื่องจากเป็นสโตรคนั่นเอง
ที่สหรัฐอเมริกาจะมีคนเป็นสโตรคปีละ 6 แสนคน ในจำนวนนี้จะรุนแรงจนเสียชีวิตถึงปีละ 150,000 คน
ส่วนอีก 1 แสนคนเป็นสโตรคซ้ำ ผู้ที่รอดชีวิตจากโรคจะต้องได้รับการรักษาและฟื้นฟูสภาพโดยเร็วที่สุด
เพื่อหวังว่าจะทำให้ความเสียหายที่เกิดขึ้นบรรเทาเบาบางลง สโตรคจัดเป็นฆาตกรอันดับสามของอเมริกัน
และคาดว่าคนไทยก็คงไม่ต่างจากนี้มากนัก
อะไรคือปัจจัยเสี่ยงต่อสโตรค ?
มีหลายปัจจัยที่ทำให้เสี่ยงต่อการเป็นสโตรค อาทิเช่น :
1. อายุที่สูงขึ้น คงจะพบได้จากการที่มีสโตรคเพียงร้อยละ 28 เกิดในคนอายุต่ำกว่า 65 ปี
ส่วนคนที่มีอายุ 55 ปีขึ้นไป จะมีอุบัติการณ์เป็นสโตรคเพิ่มขึ้น 2 เท่าทุกๆ 10 ปีที่แก่ตัวลง
ดังนั้น ถ้าคิดเป็นอัตราต่อรองทางการพนันแล้ว ก็บอกได้เลยว่า ชายหญิงก่อนอายุ 70 ปี
โอกาสเป็นสโตรคในทุก 1 ใน 20 คน
2. ความดันโลหิตสูง
3. หัวใจเต้นพริ้ว (ATRIAL FIRILLATION)
4. ผนังในของเส้นเลือดใหญ่ที่ไปเลี้ยงสมองฉีกขาด (CAROTID ARTERY DISSECTION)
5. เบาหวาน
6. การสูบบุหรี่ ทำให้คนสูบบุหรี่มีความเสี่ยงต่อสโตรคเพิ่มขึ้น 3 เท่า เมื่อเทีนยกับคนไม่สูบ
7. ขาดการออกกำลังกาย
8. ความอ้วน ดังจะเห็นได้จากสถิติที่พบว่ากว่าร้อยละ 20 ของคนที่เป็นสโตรคจะมีน้ำหนักเกินปกติ
9. ระดับไขมันโคเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) ต่ำ
10. ดื่มสุรามากเกินไป
11. เสพย์ยาเสพติด เช่น โคเคน
12. มีประวัติครอบครัวว่าเป็นสโตรค
นอกจากนี้ นักวิจัยกำลังศึกษาอยู่ว่าบางภาวะที่ไม่เคยคิดว่าจะเป็นปัญหาจะช่วยให้เกิดสโตรคหรือไม่ เช่น
การหยุดหายใจขณะหลับ (Sleep apnea) คนบางคนนอนหลับแล้วหยุดหายใจเป็นพักๆ
โดยหยุดตั้งแต่ 10 วินาที-2 นาที ซึ่งหากเกิดขึ้นบ่อยๆ ก็จะทำให้คนๆ นั้นตื่นนอนบ่อย กลายเป็นคนอดนอน
ทำงานตอนกลางวันไม่ได้ มีอาการอ่อนเพลีย ปวดศีรษะตอนเช้า นอกจากนั้น การหยุดหายใจยังทำให้สมอง
และหัวใจขาดออกซิเจนจนเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง และสโตรค
หัวใจเต้นเร็วแบบ ATRIAL FLUTTER
ความซึมเศร้า (DEPRESSION) ยิ่งซึมเศร้ามากก็ยิ่งเสี่ยงมาก
เป็นสโตรคแล้วจะมีอาการอะไร ?
ความคล้ายคลึงกับโรคหัวใจขาดเลือดของสโตรคอย่างหนึ่งคือ มีบางคนเป็นสโตรคโดยไม่มีอาการ (SILENT STROKE)
ซึ่งพบได้ 1 ใน 3 ของสโตรคในคนสูงอายุ แต่จะปรากฏอาการในรูปของปัญหาความทรงจำ และการเรียนรู้
ผู้ที่สูบบุหรี่หรือมีความดันโลหิตสูงก็จะมีสโตรคโดยไม่ปรากฏอาการได้
อย่างไรก็ตาม คนเป็นสโตรคส่วนใหญ่จะมีอาการ แล้วแต่ชนิดของสโตรคที่เป็น เช่น
ถ้าเป็นสโตรคแบบสมองขาดเลือด (เส้นเลือดสมองอุดตัน) มักจะมีอาการขึ้นมาฉับพลันทันใด
แต่ถ้าเป็นแบบมีลิ่มเลือดเกิดขึ้นในเส้นเลือดก็จะค่อยๆ ปรากฏอาการ
อาการที่เกิดก็มี อาทิเช่น
- ตาบอด หรือ หูไม่ได้ยินไปข้างใดข้างหนึ่ง
- รู้สึกสับสน
- เวียนศีรษะ หรือ ทรงตัวไม่ดี
- คลื่นไส้ และ/หรือ อาเจียน
- ซีกหนึ่งซีกใดของร่างกายชาหรืออ่อนกำลังลง
- ชัก
- ปวดศีรษะรุนแรงคล้ายไมเกรน
- พูดไม่ออก หรือ ฟังเข้าใจลำบาก
ส่วนที่เป็นสโตรคแบบเส้นเลือดเลี้ยงสมองแตกก็มักจะมีอาการขึ้นมาฉับพลัน
แล้วอาการจะเลวลง อาทิเช่น
- สับสน
- คลื่นไส้ และ/หรือ อาเจียน
- ปวดศีรษะอย่างรุนแรง
ในกรณีที่กระบวนการสโตรคดำเนินต่อไป คนไข้ก็จะหมดความรู้สึกหรือโคม่าไปจนถึงแก่ชีวิต
แต่ถ้าเป็นเพียงชั่วคราว ก็เรียกว่า อัมพฤกษ์ หรือ MINI STROKE หรือ TIA (TRANSIENT ISCHEMIC STROKE)
ซึ่งเป็นภาวะที่เกิดแล้วรู้สึกโชคดีที่ไม่เลวร้ายลง แต่ก็ต้องระวังตัวเพราะมีโอกาสกำเริบและจะเลวร้ายกว่าครั้งแรก
เขาวินิจฉัยสโตรคกันอย่างไร ?
เมื่อมีอาการที่บ่งชี้ว่าอาจเป็นสโตรคเกิดขึ้น แพทย์จะต้องรีบประเมินสถานการณ์โดยซักประวัติการเจ็บป่วย
แล้วรีบสั่งตรวจด้วยคอมพิวเตอร์เอกซเรย์ (CT scan) เพราะการตรวจนี้จะช่วยให้คุณหมอวินิจฉัยว่า
เป็นเส้นเลือดเลี้ยงสมองตีบตันหรือเส้นเลือดเลี้ยงสมองแตก ซึ่งจะรักษาต่างกัน
และยังรู้อีกว่าเกิดสโตรคที่ส่วนไหนของสมอง
การประเมินสภาพของร่างกายอาจใช้เวลาหลายวัน โดยการตรวจต่างๆ ประกอบด้วย
1. การตรวจร่างกาย เช่น การฟังเสียงที่เส้นเลือดแดงคาโรติด (Carotid artery) ที่ไปเลี้ยงสมองว่า
มีอาการตีบตันหรือไม่ อย่างไร
2. ใช้อุปกรณ์ตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (Ultrasound) ที่บริเวณเส้นเลือดแดงบริเวณคอ
เพื่อดูว่ามีคราบไขมันพอกผนังด้านในของเส้นเลือดแดงที่ไปเลี้ยงสมองหรือไม่
3. การใช้สนามแม่เหล็กถ่ายภาพ (MRI) ที่บางรายจะให้การวินิจฉัยได้แม่นยำกว่าคอมพิวเตอร์เอกซเรย์
4. คลื่นไฟฟ้าของหัวใจ (EKG) เพื่อดูว่ามีโรคหัวใจหรือไม่
5. ตรวจคลื่นสมอง (EEG)
สโตรครักษาอย่างไร ?
ท่านผู้อ่านที่มีญาติในครอบครัวที่เกิดอาการที่กล่าวมาแล้วขึ้นมาฉับพลันทันใดแล้วสงสัยว่าจะเป็นสโตรค
ก็ขอให้เรียกรถพยาบาลด่วนเพื่อนำส่งโรงพยาบาล เพื่อการตรวจวินิจฉัยทันทีและถูกต้อง
โดยแพทย์จะมีขั้นตอนปฏิบัติคือ
1. ตรวจประเมินเบื้องต้นในกรณีที่ผู้ป่วยหมดสติ ถ้าหายใจไม่ดีก็ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ
2. ลดไข้
3. ส่งตรวจคอมพิวเตอร์เอกซเรย์
4. ให้น้ำเกลือเพื่อให้สารอาหารในกรณีที่คนไข้หมดสติ
5. ผลการตรวจด้วยคอมพิวเตอร์เอกซเรย์ ถ้าหากว่าเป็นก้อนเลือดอุดตันก็ต้องรีบให้ยาละลายลิ่มเลือด
แต่ถ้าเป็นเส้นเลือดเลี้ยงสมองแตกก็ต้องรักษาไปอีกแบบหนึ่ง
วิธีใหม่ๆ ในการรักษาสโตรค
ขณะนี้นักวิจัยกำลังเร่งค้นหาวิธีใหม่ๆ ในการรักษาสโตรคและป้องกันสโตรคกันอย่างขมักเขม้น
การวิจัยต่างๆ ที่ทำอยู่มีอาทิเช่น
1. การใช้โปรตีนพิเศษชื่อ Plasma fibronectin ที่เชื่อว่าจะปกป้องเซลล์สมองไม่ให้เสียหาย
จากสโตรคชนิดเส้นเลือดตีบตัน
2. โปรตีนพิเศษชื่อ ORP 150
3. การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิด
4. การลดอุณหภูมิร่างกายเพื่อลดความเสียหายต่อร่างกายขณะเกิดสโตรครุนแรง
5. EPAR (Endovascular photo Acoustic Recanalization) เป็นการใช้เลเวอร์ผ่านสายสวนไปยังสมอง
เพื่อละลายลิ่มเลือดในทันที แทนที่จะเป็นชั่วโมง ถ้าใช้ยาละลายลิ่มเลือดฉีดเข้าเส้นเลือดดำ
6. PPI เป็นชื่อย่อของยาที่จะช่วยรักษาสโตรคซึ่งมีอาการบวมทางสมอง
7. ยาลดไขมันโคเลสเตอรอล
ปัญหาหลังสโตรค
เมื่อเกิดสโตรคขึ้นแล้วโชคดีที่ยังรอดชีวิตมาได้นั้น ราว 1 ใน 3 ของคนไข้จะเกิดความพิการถาวร
แต่ก็มีราวร้อยละ 70-80 ของผู้ป่วยที่ฟื้นสภาพจนสามารถช่วยตัวเองได้
โดยทั่วไปแล้ว หลังป่วยเป็นสโตรค
ร้อยละ 20 ของผู้ป่วยต้องพึ่งพาสถานพยาบาล
ร้อยละ 15-30 พิการถาวร
ร้อยละ 22 ของผู้ชายและร้อยละ 25 ของผู้หญิงที่เป็นสโตรคจะตายภายใน 1 ปี
และ ร้อยละ 14 ของผู้เป็นสโตรคหรือมินิสโตรคจะเป็นสโตรคซ้ำใน 1 ปี
กล่าวโดยทั่วไปแล้ว ถ้าเป็นสโตรคยิ่งรุนแรงเท่าไรก็จะต้องใช้เวลานานขึ้นเท่านั้นในการฟื้นฟูสภาพ
การเปลี่ยนแปลงในสมรรถนะของร่างกายที่จะต้องนำมาคำนึงถึง เวลาจะทำการฟื้นฟู คือ
- จิตใจสับสนหรือขี้ลืม
- กลืนลำบาก
- มุมปากตก
- ทรงตัวไม่ดี
- อัมพาตครึ่งซีกของร่างกาย
- ควบคุมการขับถ่ายลำบากทำให้ปัสสาวะและอุจจาระเล็ด
- การมองเห็นหรือการได้ยินบกพร่องไป
- พูดไม่ชัด
- อ่อนกำลัง
- ความเซ็ง เศร้า ซึม ทั้งตัวคนไข้และญาติใกล้ชิด
สโตรคจะป้องกันได้หรือไม่ ?
หลายๆ วิธีที่ใช้ป้องกันโรคหัวใจขาดเลือดสามารถนำมาใช้ป้องกันสโตรคได้ อาทิเช่น
1. ควบคุมแรงดันโลหิตในภาวะความดันโลหิตสูง
2. ให้การรักษาหัวใจเต้นพริ้วหรือเต้นเร็ว
3. รักษาภาวะหยุดหายใจเวลาหลับ
4. เรียนรู้วิธีบริหารความเครียด บำบัดอาการเซ็ง เศร้าซึม หรือการเสพย์ติด
5. ลดระดับโคเลสเตอรอล
6. เพิ่มการออกกำลัง
7. รักษาน้ำหนักตัวให้ปกติ
8. งดหรือเลิกสูบบุหรี่
9. จำกัดการดื่มสุราให้เหลือเพียงไวน์ หรือเบียร์วันละแก้ว ซึ่งปริมาณน้อยๆ
ขนาดนี้อาจช่วยป้องกันสโตรคได้
10. ควบคุมเบาหวานถ้าเป็นอยู่
11. เลือกรับประทานอาหารที่ต้องด้วยสุขภาพ
เกี่ยวกับอาหารต้องด้วยสุขภาพหัวใจนั้นมีงานวิจัยที่พิมพ์เผยแพร่ในวารสารการแพทยสมาคมอเมริกัน
เมื่อปี พ.ศ.2544 ว่า ผู้หญิงที่รับประทานปลามากกว่า 5 ครั้งต่อสัปดาห์ และมีความเสี่ยงต่อสโตรคต่ำลงร้อยละ 52
เมื่อเทียบกับคนที่บริโภคปลาน้อยกว่าเดือนละครั้ง
ทั้งนี้ เนื่องจากเนื้อปลาอุดมด้วยกรดไขมันโอเมก้า-3 (Omaga-3 latty acid)
งานวิจัยนาน 20 ปี ในชาวชนบทสองหมื่นคนที่ญี่ปุ่นพบว่า คนที่มีระดับวิตามินซีในเลือดสูงมาก
จะมีโอกาสเกิดสโตรคน้อยลงร้อยละ 28 เมื่อเทียบกับคนที่มีระดับวิตามินซีต่ำ
อีกงานวิจัยหนึ่งบอกว่า คนที่บริโภคผักผลไม้มากๆ จะเป็นสโตรคน้อยลง
แต่ไม่ใช่ว่าเปลี่ยนไปกินวิตามินซีเม็ดจะได้ผลเท่ากับมาตรการดังกล่าว เพราะในผักผลไม้อาจจะมีสารอื่นๆ
ที่ช่วยลดสโตรคได้ นอกเหนือจากวิตามินซีแล้ว
12. แอสไพรินหรือยาต้านเกล็ดเลือด ขอให้เป็นไปตามคำแนะนำของแพทย์
13. การผ่าตัดลอกคราบไขมันที่พอกผนังด้านในของเม็ดเลือดแดงคาโรติก (Carotid Endarterectomy)
อาจเป็นทางเลือกที่ดีในคนที่เป็นอัมพฤกษ์ ทั้งนี้เพื่อป้องกันเหตุร้ายครั้งต่อไป
(update 5 พฤศจิกายน 2003)
[ ที่มา..หนังสือ
นิตยสารใกล้หมอ ปีที่ 27 ฉบับที่ 9 ตุลาคม 2546 ]
|