ภาวะภูมิแพ้ คืออะไร


ภาวะภูมิแพ้หรืออัลเลอจี้ (Allergy) คือ ปฏิกิริยาผิดปกติหรือภาวะที่ร่างกายไวต่อสารบางอย่างมากผิดปกติ สารที่ก่อให้เกิดปฏิกิริยานี้เรียกว่า อัลเลอเจ้น (Allergens) คนที่มีภูมิแพ้ก็จะเกิดอาการเวลาสัมผัสสารที่ตนแพ้ ในขณะที่คนไม่แพ้จะสัมผัสได้อย่างสบาย

โชคดีที่ว่าคนส่วนใหญ่ไม่มีภูมิแพ้ แต่บางคนกลับโชคร้ายคือ แพ้มากขนาดคุกคามชีวิตเลยเวลาสัมผัสสารที่แพ้ เช่น ยาแอสไพรินหรือถูกผึ้งต่อย

เนื่องจากภาวะภูมิแพ้บางชนิดมีลักษณะของอาการคล้ายหวัด แต่สาเหตุกลับต่างกัน กล่าวคือ คนเป็นหวัดเกิดจากการติดเชื้อไวรัส ในขณะที่หวัดภูมิแพ้เกิดจากการสัมผัสสารก่อภูมิแพ้ของคนๆ นั้น อาการที่พบคล้ายกัน อาทิเช่น
  • มีน้ำมูกไหล
  • คันจมูก
  • จาม
  • น้ำตาไหลและคันตา
ส่วนไข้หวัดอาจจะมีอาการอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น เจ็บคอ หรือไออยู่นาน 3-5 วัน ขณะที่หวัดภูมิแพ้จะเกิดเป็นพักๆ โดยมักจะกำเริบในฤดูเดียวกันทุกปี

มีสารก่อภูมิแพ้มากมายที่ทำให้เป็นหวัดภูมิแพ้หรือหวัดแพ้อากาศได้ (Allergic Rhinitis) อาทิเช่น
  • เกสรดอกไม้ จะเล่นงานชาวตะวันตกในฤดูใบไม้ผลิ ขณะที่หญ้าจะเป็นตัวการตอนหน้าร้อน ส่วนฝุ่นละอองและไรฝุ่นจะก่อให้เกิดอาการได้ทั้งปี ทั้งนี้จะมีมลภาวะทางอากาศเป็นปัจจัยเสริมด้วย

  • สารก่อภูมิแพ้กลางแจ้งที่พบบ่อยๆ คือ
    - ต้นไม้
    - หญ้า
    - เกสรดอกไม้ทั้งหลาย
    - สปอร์ของรา
    - มลภาวะจากโรงงาน
  • สารก่อภูมิแพ้ภายในบ้านที่พบบ่อยๆ คือ
    - ฝุ่นละออง
    - รา
    - ขนสัตว์ต่างๆ
    - เครื่องสำอาง
    - มูลหรือรังแคสัตว์เลี้ยง
    - ควันบุหรี่
    - เครื่องใช้ที่ใช้พ่น
    - สีทาใหม่ๆ
ผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน
เมื่อระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้จะทำให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน (Antibodies) ซึ่งจะไปเกาะอยู่ในเซลล์บางชนิดของร่างกาย เช่น ที่ทางเดินหายใจ ทางเดินอาหาร ผิวหนังหรือในกระแสเลือด เวลาเกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้ขึ้น เซลล์เหล่านี้ก็จะปล่อยสารเคมีอันทรงพลัง เช่น ฮีสตามีน (Histamine) ทำให้เกิดอาการของภูมิแพ้ตามมา เช่น น้ำมูกไหลราวกับท่อน้ำรั่ว น้ำตาไหล คันตา คันจมูกและตาม ณ จุดนี้เองที่คุณหมอมักจะแนะนำคนไข้ให้รับประทานยาต้านฮีสตามีน (Antihistamine) เพื่อบรรเทาภาวะภูมิแพ้จนน้ำมูกหรือน้ำตาแห้งลง

สถาบันภูมิแพ้และภูมิคุ้มกันวิทยาของอเมริกัน ประมาณการไว้ว่า มีชาวอเมริกันทุกๆ 1 ใน 6 คนที่เป็นโรคภูมิแพ้ และมีชาวอเมริกันกว่า 35 ล้านคนที่เป็นหวัดภูมิแพ้หรือหวัดแพ้อากาศตามฤดู นอกจากนี้ยังมีอีกหลายล้านคนที่แพ้อาหาร เช่น แพ้นมวัว (Lactose Intolerance) แพ้ยา (เช่น แพ้เพนิซิลลิน) หรือเกิดผื่นแพ้สัมผัสเวลาผิวหนังสัมผัสกับผ้า รองเท้า เครื่องสำอางที่ใช้กับเส้นผม เครื่องสำอางและโลหะบางอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นิกเกิล

สารก่อภูมิแพ้ที่พบบ่อยที่สุด
แม้ว่าจะมีสารต่างๆ ในสิ่งแวดล้อมที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้ได้ แต่มีบางอย่างที่พบบ่อยกว่าเพื่อน ได้แก่
  • การสูดดมเกสรดอกไม้ สปอร์ของรา รังแคหรือมูลสัตว์ ไรฝุ่น ฝุ่นละออง
  • อาหาร เช่น นมวัว ไข่ ไก่ สัตว์ทะเลที่มีเปลือก ปลา ถั่วลิสง ถั่วเหลือง ผลิตภัณฑ์จากข้าวสาลี ช็อกโกแลต ผักคึ่นไช่ บางคนอาจแพ้สารกันเสีย เช่น ซัลไฟต์ ไนเตรท พาราเบน BHA/BHT น้ำตาลเทียม (Aspartame) ผงชูรส
  • ยา เช่น เพนนิซิลลิน
  • สารที่มาสัมผัสผิวหนัง เช่น น้ำมันพืช เครื่องสำอางและน้ำหอม นิกเกิลที่มากับเครื่องประดับ หรือเครื่องนุ่มห่ม ยาย้อมผม ยาทาเฉพาะที่
มีสารก่อภูมิแพ้ที่คาดไม่ถึงหลายอย่าง เช่น ถุงมือยางเลเท็กซ์ สายสวน ถุงยางอนามัย เครื่องมือแพทย์หรือทันตกรรม ซึ่งทั้งหลายทั้งปวงนี้เชื่อว่าเป็นเพราะแพ้โปรตีนที่อยู่ในเลเท็กซ์

ภาวะที่ทำให้อาการภูมิแพ้เลวลง
ในผู้ป่วยที่เป็นโรคภูมิแพ้บางคนจะมีบางภาวะที่กระตุ้นให้เกิดภูมิแพ้เพิ่มได้ เช่น การแพ้อาหารจะพบบ่อยในเด็กที่เป็นโรคหืด หรือผิวหนังอักเสบจาก ELZEMA บางคนที่เป็นโรคหืด แล้วสัมผัสสารก่อภูมิแพ้ เช่น สารกันบูดกลุ่มซัลไฟต์ จะกระตุ้นให้อาการหอบหืดปรากฏขึ้น คุณหมอประจำตัวจึงมักแนะนำให้หลีกเลี่ยงการรับประทานสลัดจากสลัดบาร์ เพราะผักผลไม้ในหิ้งสลัดดังกล่าว มักจะเคลือบสารเคมีมา
บางคนแพ้สารอย่างหนึ่งก็อาจแพ้สารที่เกี่ยวข้อง เช่น คนที่แพ้เชื้อราอาจแพ้ยาเพนนิซิลลิน และเนยบูลชีส

การวินิจฉัยภาวะภูมิแพ้
อาการแสดงของโรคภูมิแพ้อาจมีเพียงเล็กน้อยไปจนถึงขั้นเกือบเอาชีวิตไม่รอด ภูมิแพ้ที่ร้ายแรงที่สุดเรียกว่า อะนาไฟแล็กสิส (ANAPHYLAXIS) ซึ่งเป็นปฏิกิริยาภูมิแพ้เฉียบพลันที่มีผลกระทบทั่วทั้งร่างกาย จนต้องให้การบำบัดอย่างรีบด่วน คนบางคนมีอาการภูมิแพ้รุนแรงอาจเกิดปฏิกิริยาดังกล่าวและมีอาการต่างๆ ดังต่อไปนี้คือ
  • ความวิตกกังวล
  • คันตามตัว
  • ปวดศีรษะ
  • คลื่นไส้อาเจียน
  • จามและไอ
  • ปวดท้องแบบตะคริว
  • ผื่นลมพิษขึ้นหรือบวมที่ปาก หรือข้อ
  • ท้องเสีย
  • หายใจไม่สะดวก หรือหายใจหวีดหวิว
  • ความดันโลหิตตก
  • ชัก
  • หมดสติ
ถึงตรงนี้ขอเรียนเตือนให้ท่านผู้อ่านพึงสังวรด้วยว่า ท่านอาจมีญาติสนิทมิตรสหายที่แพ้เหล็กในของผึ้ง หรือตัวต่ออย่างมาก คนเหล่านี้ควรจะพกหลอดยาฉีดบรรจุสาร EPINEPHRINE ไว้เวลาออกไปกลางแจ้ง การตัดสินใจฉีดยานี้อย่างรวดเร็วจะช่วยชีวิตไว้ได้ในกรณีที่เขาสัมผัสสารก่อภูมิแพ้ ที่เขาเคยสัมผัสมาก่อน

วิธีป้องกันภูมิแพ้
ขอโทษด้วยครับที่ว่าเรายังไม่อาจป้องกันภาวะภูมิแพ้ได้ กล่าวคือถ้าคนไหนจะแพ้ ก็ต้องแพ้วันยังค่ำ แต่เราสามารถหลีกเลี่ยงอาการภูมิแพ้ โดยหลีกเลี่ยงการสัมผัสสารก่อภูมิแพ้ที่เรารู้แน่ๆ ว่าแพ้ หมอบางคนจะแนะนำให้ท่านดูแลบุตรหลานอย่างใกล้ชิด เวลาให้แกรับประทานอาหารหรือยาใหม่ๆ ที่ไม่เคยได้มาก่อนถ้ามีประวัติแพ้ยาปฏิชีวนะหรือยาอื่นๆ ก็ขอได้โปรดแจ้งคุณหมอทุกครั้งที่ไปหา

ในกรณีที่แพ้เกสรดอกไม้ ต้นไม้ใบหญ้า ก็สามารถป้องกันหรือหลีกเลี่ยงการสัมผัสได้โดย
  • ปิดหน้าต่างหลีกเลี่ยงการอกไปกลางแจ้งขณะที่อาการภูมิแพ้กำลังจะกำเริบ
  • สวมหน้ากากป้องกันการสูดดมสารก่อภูมิแพ้ขณะทำงาน
  • หลีกเลี่ยงการตัดหญ้า
  • ระมัดระวังเป็นพิเศษในวันที่มีลมพัดมาก
วิธีรักษา

1. ข้อสำคัญคือจะต้องค้นหาสารก่อภูมิแพ้ที่เราแพ้ให้ได้เสียก่อนเป็นอันดับแรก เพื่อจะได้หลีกเลี่ยงหรือกำจัดจากสิ่งแวดล้อมของเราให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
2. ใช้ยาต้านฮีสตามีนหรือยาพ่นจมูก ยาลดการคั่งจมูกสเตียรอยด์และยาอื่น เพื่อลดอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล
3. ในบางรายผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้อาจจะต้องเข้ารับมาตรการแก้แพ้ (DESENSITIZATION หรือภูมิคุ้มกันบำบัด) ซึ่งเป็นกระบวนการฉีดสารที่รู้ว่าแพ้แต่ในขนาดต่ำๆ เพื่อทำให้ร่างกายค่อยๆ คุ้นเคยกับมัน มาตรการนี้จะทำในกรณีที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับมันได้ เช่น ฝุ่นละออง หรือไรฝุ่น
เวลาสังเกตเห็นตัวเองหรือคนอื่นมีอาการลิ้นบวม กลืนลำบาก พูดไม่ออกหรือหายใจลำบาก ก็อาจหมายถึงปฏิกิริยาภูมิแพ้รุนแรงที่ต้องบำบัดฉุกเฉินโดยแพทย์ห้องฉุกเฉิน จึงขอให้หาทางส่งห้องฉุกเฉินโดยเร็ว


(update 4 มีนาคม 2003]
[ ที่มา..หนังสือ นิตยสารใกล้หมอ ปีที่ 26 ฉบับที่ 11 พฤศจิกายน 2545 ]


[ BACK TO LIST]

main พบแพทย์ คอมพิวเตอร์ เรื่องบ้าน เรื่องรถ เรื่องกฏหมาย เรื่องของผู้บริโภค เรื่องเบาๆ คลายเครียด

มีปัญหาสุขภาพ ที่นี่มีคำตอบ ห้องสมุด E-LIB
Best view with [IE3.02][NETSCAPE 4.05][OPERA 3.21] resolution 800x600