วิวาทะกาแฟ


เช้าๆ กาแฟร้อนสักถ้วนก็พอ…
คุณเป็นอย่างนี้เหมือกับอีกหลายล้านคนทั่วโลกหรือเปล่า ปัจจุบันการดื่มกาแฟเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน และกลายเป็นวัฒนธรรมที่คุ้นเคยทั่วทุกมุมโลก และไม่ใช่เพียงหนึ่งในกิจกรรมยามเช้าเท่านั้น หลายๆ ครั้งในหนึ่งวันของใครหลายคนก็ไม่พ้นกาแฟ

แม้จะรู้กันดีถึงโทษ แต่คนมากมายก็ยังพิสมัยในกลิ่นและรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์นี้ ส่งผลให้ปัจจุบันตัวเลขการบริโภคกาแฟเพิ่มสูงขึ้น และกลุ่มนักดื่มกาแฟตัวยงมีอายุน้อยลง เริ่มต้นกันที่อายุ 18 เลยทีเดียว (อ้างจากผลการสำรวจทั่วโลกของสถาบันเอ็นซีเอ สหรัฐฯ)

และด้วยจำนวนผู้บริโภคกาแฟในแต่ละวันของประเทศไทยอยู่ที่สิบล้านคน ทำให้กาแฟเข้ามาเกี่ยวข้องกับมูลค่าทางการค้ามหาศาลของประเทศชาติ ผลิตภัณฑ์กาแฟรูปแบบต่างๆ จึงเดินพาเหรดมาร่วมขบวนเพิ่มความคึกคักในตลาดกาแฟยิ่งขึ้น!

ในมุมกลับกัน วงการวิทยาศาสตร์และการแพทย์เริ่มตีพิมพ์ผลการศึกษาวิจัย ที่เอ่ยถึงประโยชน์บางด้านของกาแฟชนิดที่คอกาแฟพอมีข้อแก้ตัวสำหรับการดื่มครั้งต่อไปได้

ขณะที่บางคนบอกว่ากาแฟเป็นสิ่งเสพติด แค่บางคนบอกว่า ขาดกาแฟ…แทบขาดใจ
แล้วคุณล่ะ…ว่าไง?

    กรุ่นกลิ่นตามรายทาง

ว่ากันว่ามนุษย์รู้จักดื่มกาแฟมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 ในแถบทวีปแอฟริกา โดยคนเลี้ยงแกะในเอธิโอเปีย สังเกตเห็นแพะที่เขาเลี้ยงกระโดดโลดเต้นอย่างสนุกสนานเมื่อกินผลไม้สีแดงๆ เขาจึงลองกินดูก็รู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า ต่อมาได้มีการนำไปถวายพระ แล้วพระได้นำไปเผาไฟเพื่อหวังลดอำนาจของผลไม้นี้ลง แต่กลับมีกลิ่นหอมน่าพิสมัย จึงนำมาทุบและใส่น้ำเพื่อดับไฟ เมื่อลองดื่มน้ำนั้นก็รู้สึกสดชื่นจึงมีการบอกต่อ และกาแฟได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของชาวตะวันออกกลาง จนพวกพ่อค้านำออกไปเผยแพร่

ชาวยุโรปเริ่มรู้จักกาแฟเมื่อศตวรรษที่ 17 โดยนักเดินทางแสวงโชค หลังจากนั้นก็ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย และมีการนำกาแฟไปขยายพันธุ์ตามอาณานิคมต่างๆ จนกลายเป็นพืชเศรษฐกิจถึงปัจจุบัน สำหรับประเทศไทยมีบันทึกว่า การปลูกกาแฟเริ่มตั้งแต่สมัยอยุธยา แต่นิยมอย่างแพร่หลายในสมัยรัตนโกสินทร์ ประมาณรัชกาลที่ 3 และ 4


    แหล่งปลูกและเพาะพันธุ์

กาแฟเป็นพืชไม้พุ่มแถบแอฟริกา ในสกุล coffee วงศ์ Rubiaceae ผลของกาแฟจะมีขนาดเล็ก มีสีแดงเหมือนเชอร์รี่เลยเรียกกันว่า coffee Cherries เม็ดแก่คั่วแล้วบดใช้เป็นเครื่องดื่ม ปัจจุบันเมล็ดกาแฟที่มีขายกันอยู่ในปัจจุบันมี 3 พันธุ์คือ พันธุ์โรบัสต้า พันธุ์อาราบิก้า และพันธุ์ไลเบริก้า

หากสำรวจทั่วทุกมุมโลกที่มีการปลูกกาแฟนับรวมได้ว่า ขณะนี้มีกาแฟอยู่ประมาณ 500 สายพันธุ์ และยังสามารถแบ่งย่อยได้อีกว่า 6,000 ชนิด แต่หากจัดเป็นกลุ่มใหญ่อาจแบ่งได้ 2 กลุ่มคือ
1. พันธุ์อาราบิก้า กาแฟพันธุ์อาราบิก้าเป็นที่นิยมปลูกมากที่สุด ประมาณร้อยละ 70 ของทั้งหมด เป็นพันธุ์ที่ดีที่สุด ปลูกยาก ดูแลยาก
2. พันธุ์โรบัสต้า เป็นกาแฟพันธุ์ไม่ค่อยดีนัก มักนิยมเอามาทำกาแฟสำเร็จรูป หรือนำไปผสมกับพันธุ์อื่นๆ
บราซิลเป็นแหล่งผลิตเมล็ดกาแฟรายใหญ่ โดยเฉลี่ยปีหนึ่งผลิตได้ถึง 4 ล้านตัน คิดเป็น 1 ใน 3 ของผลผลิตกาแฟทั่วโลก แหล่งผลิตที่สำคัญอื่นๆ เช่น โคลัมเบีย อินโดนีเซีย เม็กซิโก และไอเวอรี่โคสต์ที่ถือว่าเป็นแหล่งผลิตกาแฟติดอันดับ Top 5 ของโลก

สำหรับประเทศไทยมีการปลูกทั้งพันธุ์อาราบิก้า และโรบัสต้า โดยพันธุ์อาราบิก้านิยมปลูกกันมาก บนที่ราบสูงตอนเหนือของไทย ส่วนพันธุ์โรบัสต้าปลูกกันมากทางภาคใต้ของประเทศ ขณะที่ประเทศไทยมีผลผลิตประมาณ 40,000 ตันต่อปี แต่ความต้องการในการผลิตกาแฟสำเร็จรูป มีประมาณ 60,000 ตัน

กาแฟคล้ายกับองุ่นที่ใช้ทำไวน์ตรงที่ รสชาติจะดีหรือไม่ขึ้นอยู่กับว่าปลูกที่ไหน รสชาติของกาแฟจึงถูกกำหนดโดยความสูงของพื้นที่ปลูก น้ำฝน ชนิดของดิน อุณหภูมิ ความร้อน ฯลฯ… ดังนั้น แต่ละแหล่งปลูกก็จะได้กลิ่นและรสชาติที่แตกต่างกัน


    หลากหลายอารมณ์

นอกจากการนับตามพันธุ์กาแฟดั้งเดิมแล้ว หากแบ่งตามประเภทของกาแฟที่เห็นกันอยู่ทั่วไป จะมีดังนี้
  • กาแฟแท้ เป็นกาแฟที่ใช้เมล็ดกาแฟและผ่านกระบวนการต่างๆ แบบ Hand Made ไม่ว่าจะเป็นการคั่ว บด มีรสชาติเข้มข้น

  • กาแฟผสม เป็นกาแฟที่ใช้เมล็ดกาแฟ แต่มีการผสมวัตถุปรุงแต่งเพื่อสร้างรสชาติที่แตกต่าง เช่น มินท์ อบเชย โดยมีการปรุงพิเศษเฉพาะตัว เรียกว่า เบเลนด์ (Blend)

  • กาแฟปรุงสำเร็จ การนำเอากาแฟมาปรุงแต่งรสในลักษณะพร้อมดื่มด้วยน้ำตาล ครีมเทียม หรือวัตถุอื่นๆ ที่ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย โดยมีทั้งชนิดผงและของเหลว

  • กาแฟที่สกัดคาเฟอีนออก เนื่องจากเชื่อกันว่าคาเฟอีนเป็นสารเสพติด ดังนั้น จึงเกิดกาแฟสกัดคาเฟอีนที่เรียกว่า "ดีแคฟ" (Decaffeinated) ขึ้นมาจำหน่าย สารคาเฟอีนที่สกัดออกมานี้จะเอาไปขายให้บริษัทน้ำอัดลม หรือบริษัทผลิตยาชูกำลัง เพื่อเอาไปผสมในเครื่องอีกที
    ขั้นตอนการสกัดคาเฟอีนมีความยุ่งยากและมีต้นทุนสูง ผู้บริโภคไม่สามารถสกัดคาเฟอีนเองได้ กาแฟดีแคฟจึงแพงกว่ากาแฟปกติ และกาแฟที่จะติดตราว่า "Decaffeinated" ได้ จะต้องสกัดคาเฟอีนออกอย่างน้อยร้อยละ 97 ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งกำลังใช้วิธีการทางวิศวพันธุกรรม เพื่อเพาะกาแฟพันธุ์ใหม่ที่ให้เมล็ดที่ไม่มีคาเฟอีน ผลจะเป็นอย่างไร ไม่นานคงจะรู้กัน

    คาเฟอีน ชื่อเสียงหรือชื่อเสีย ?
สิ่งที่ทำให้กาแฟเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมคือ รสชาติและกลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ ที่ไม่ว่าจะปรุงแต่งด้วยส่วนประกอบอะไรบ้าง ก็ยังเป็นกาแฟอยู่นั่นเอง ที่ขาดไม่ได้คือคุณสมบัติอันช่วงสร้างความสดชื่นตื่นตัวกระปรี้กระเปร่า ก็ยังคงเดิมเหมือนทุกครั้งที่ดื่มด่ำ

แต่สารประกอบอะไร แค่ไหน ให้ประโยชน์หรือโทษอย่างไร เป็นเรื่องที่น่าพิจารณา…

คาเฟอีน เป็นสารประกอบหลักในกาแฟ มีลักษณะเป็นผงสีขาว มีรสขม มีฤทธิ์กระตุ้นหัวใจ และระบบประสาทส่วนกลางอย่างอ่อน ช่วยให้สมองที่เฉื่อยเนือย มีการตื่นตัวมากขึ้น แต่เป็นการชั่วคราวเท่านั้น และไม่มีผลต่อการเกิดมะเร็ง นอกจากนี้ยังไปกระตุ้นกระเพาะอาหารให้หลั่งกรดบางชนิดออกมา เพื่อช่วยในการย่อยอาหารและขยายถุงลมในปอด

สำหรับฤทธิ์ของคาเฟอีนที่มีผลต่อร่างกาย พบว่าค่าความปลอดภัยอยู่ที่ 100-300 มก. ซึ่งเท่ากับกาแฟธรรมดาประมาณ 2-4 ถ้วยต่อวัน แต่ถ้าดื่มกาแฟเป็นประจำและได้รับคาเฟอีนมากกว่า 300 มก.ต่อวัน
กาแฟ-ไม่ได้มีแค่คาเฟอีน
แม้คาเฟอีนจะเป็นหลักในกาแฟ แต่ก็ไม่ได้มีคาเฟอีนเพียงอย่างเดียว ยังมีสารอื่นๆ ที่มีผลต่อร่างกายอีกกว่า 300 ชนิด เช่น
  • กรดแทนนิค เป็นตัวทำให้กาแฟมีรสขม แต่ถ้าผ่านการอบนานๆ ความขมจะเจือจางไปด้วย
  • เส้นใยอาหาร เมื่อผ่านการอบแล้ว เส้นใยนี้จะกลายเป็นคาร์โบไฮเดรตและกรดแลคติกรวมกัน กลายเป็นสีกาแฟ
  • ไนอาซิน เป็นสารอาหารที่ร่างกายสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ เกิดขึ้นในกระบวนการคั่วเมล็ดกาแฟ กาแฟ 1 ถ้วนจะให้ไนอาซิน 1 มก.
นอกจากนี้ยังมีไขมัน คาร์โบไฮเดรตอีกเล็กน้อย
หากจะถามถึงส่วนคุณค่าทางโภชนาการ ต้องถามกลับว่ามันคุ้มกับคุณค่าทางใจหรือเปล่า
ก็มีโอกาสเพิ่มอัตราเสี่ยงต่อโรคหัวใจล้มเหลว หัวใจวายหรือโรคเกี่ยวกับหัวใจได้ โดยผลวิจัยบอกว่า เสี่ยงในอัตรา 2.8 เท่าของคนที่ไม่ดื่มกาแฟ แต่หากวันหนึ่งๆ ดื่มกาแฟชงแก่ๆ 5-6 ถ้วยต่อวันก็อาจมีอาการ Caffeinism ขึ้น โดยจะกระวนกระวาย ปวดศีรษะ และหัวใจเต้นแรงเร็ว เพราะปริมาณคาเฟอีนจะสูงขึ้นมากกว่า 600 มก. ส่วนคาเฟอีนขนาดที่ทำให้เสียชีวิต มีรายงานจากอย. กระทรวงสาธารณสุขของไทยว่า คาเฟอีนประมาณ 10 กรัม หรือเท่ากับกาแฟแก่ๆ 80-100 ถ้วยหรือโคล่า 200 กระป๋องที่ต้องดื่มให้หมดภายในครึ่งชั่วโมง

ในด้านการออกฤทธิ์ของคาเฟอีนหลังจากดื่มกาแฟเข้าไปแล้วนั้น ดร.ทรงศักดิ์ ศรีอนุชาต ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่าคาเฟอีนออกฤทธิ์ไวก็จริง แต่ฤทธิ์ก็หมดไวเหมือนกัน

" คาเฟอีนออกฤทธิ์ค่อนข้างเร็ว จากการศึกษาพบว่าระดับคาเฟอีนสูงสุดที่ถูกดูดซึมในพลาสม่า จะอยู่ภายในเวลาไม่เกิน 1 ชั่วโมง ยิ่งถ้าดื่มกาแฟช่วงท้องว่างๆ นี่ 15-30 นาทีก็ออกฤทธิ์แล้ว การออกฤทธิ์จะทำให้เรารู้สึกหรือไม่รู้สึกก็ขึ้นอยู่กับปริมาณที่เราดื่ม ถ้าเราดื่มรวดเดียวก็ออกฤทธิ์มาก คนแต่ละคนก็จะมีความไวต่อคาเฟอีนไม่เท่ากัน บางคนไวมาก ดื่มเข้าไปนิดเดียวก็รู้สึกใจสั่น บางคนก็ทน ดื่มเข้าไปเท่าไรก็เฉย"

ส่วนข้อถกเถียงอันไม่รู้จบที่ว่า คาเฟอีนเป็นสารเสพติดหรือไม่นั้น ดร.ทรงศักดิ์ มีคำตอบที่ชัดเจนว่า ขึ้นอยู่กับความเคยชินมากกว่าเป็นสารเสพติด

" เป็นความเคยชินมากกว่า เคยชินจนเป็นนิสัยส่วนตัว สิ่งที่จะเรียกว่าติดได้ คือจะต้องรับเป็นประจำ และปริมาณต้องเพิ่มขึ้น อย่างคนสูบบุหรี่ส่วนใหญ่เริ่มจากปริมาณน้อยๆ มวนสองมวน แล้วก็เพิ่มมากขึ้น แต่กับกาแฟมันไม่ได้ทำให้ต้องการมากขึ้น อีกอย่างหนึ่งคือมีอาการทางสรีรวิทยา เช่น สิ่งเสพติดหากไม่ได้รับนี่ทนไม่ไหว ลงแดง แต่ถ้าไม่ได้ดื่มกาแฟ ก็จะไม่มีผลอย่างนี้ ฉะนั้นเขาถึงบอกว่าคนที่ต้องดื่มกาแฟเป็นประจำไม่ใช่การติดแต่เป็นนิสัย จะหยุดเมื่อไหร่ก็ได้ เหมือนคนที่ดื่มกาแฟสกัดคาเฟอีน เขาก็ยังต้องดื่มอยู่เลย"

สำหรับสูตรกาแฟเพื่อสุขภาพ ดร.ทรงศักดิ์ ให้ความเห็นว่า
" ก็แล้วแค่เราจะตีความว่า สุขภาพของเราขีดวงแค่ไหน จะบอกว่าสุขภาพหมายถึงเรื่องของโภชนาการ กาแฟก็คงไม่มีประโยชน์ด้านนี้เลย แต่ถ้าจะบอกว่าดื่มเพื่อความกระชุ่มกระช่วย บางคนบอกว่า เช้าขึ้นมาไม่ได้ดื่มกาแฟก็จะรู้สึกไม่ตื่น บางคนแค่ถ้วนเดียวตอนเช้าก็สดชื่น บางคนซึมๆ ง่วงๆ ดื่มแล้วก็กระปรี้กระเปร่า อย่างนี้ก็ช่วยเรื่องของสุขภาพอีกด้านนึงไหม"

อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีใครกล้าที่จะฟันธงถึงด้านร้ายๆ มากนัก แต่ก็ต้องยอมรับว่า ใดๆ ก็ตามล้วนมีด้านดี-ด้านเสียด้วยกันทั้งนั้น วิวาทะครั้งนี้ก็คงไม่ประสบผลหากไม่มีประโยชน์ และโทษของกาแฟมาเทียบให้เห็นกันชัดๆ กรุณาวางใจเป็นกลางแล้วลองพิจารณาข้อเท็จจริงเหล่านี้ดู


กาแฟ VS ภาวะต่างๆ ข้อกล่าวหา ข้อเท็จจริง
โรคกระเพาะอาหาร




คาเฟอีนจะไปเพิ่มการหลั่งของกรดในกระเพาะอาหาร อาจทำให้เกิดการระคายเคือง หรือแผลในกระเพาะอาหารอาจกำเริบหรือลุกลามมากขึ้น ยังไม่มีข้อมูลชัดเจนว่าคาเฟอีนแค่ไหนจึงจะส่งผลต่อโรคกระเพาะอาหาร แต่คาเฟอีนมีฤทธิ์กระตุ้นกระเพาะอาหารให้หลั่งกรดออกมาเพื่อช่วยย่อยอาหารอยู่แล้ว
โรคไต



คาเฟอีนจะไปกระตุ้นการถ่ายปัสสาวะ ซึ่งก็คือการเพิ่มภาระให้ไตที่ไม่แข็งแรงอยู่แล้ว ให้ยิ่งต้องทำงานหนักขึ้น กาแฟมีคุณสมบัติเป็นยาระบายและยาขับปัสสาวะอย่างอ่อนๆ อยู่แล้ว การดื่มในปริมาณที่มากเกิน 2-3 แก้วต่อวัน อาจสร้างปัญหากับไตได้
โรคหัวใจ





มีความเชื่อกันว่า ผู้ป่วยหรือผู้ที่เคยมีอาการหัวใจพิบัติ (Heart Attack) ห้ามดื่มกาแฟโดยเด็ดขาด และปัจจุบันก็ยังคงเชื่อเช่นนี้อยู่ในหลายๆ คน

ผลการศึกษาในอังกฤษและสหรัฐพบว่า การดื่มกาแฟที่ชงแบบกรอง (Filtered coffee) ไม่ได้เป็นสาเหตุทำให้หัวใจเต้มผิดปกติในผู้ที่เคยมีอาการหัวใจพิบัติมาก่อน แต่เมื่อเราดื่มกาแฟสักถ้วยหัวใจจะเต้นเร็วขึ้น และความดันโลหิตจะสูงขึ้นเล็กน้อยเป็นปกติ
การนอนหลับ




สารคาเฟอีนในกาแฟเป็นตัวกระตุ้นให้ตาสว่าง และทำให้สมองตื่นตัว ซึ่งอาจส่งผลต่อการนอนหลับได้

แค่เลี่ยงกาแฟตั้งแต่ช่วงบ่าย ร่างกายจะสามารถปรับสภาวะได้ เนื่องจากคาเฟอีนจะถูกขับออกจากร่างกาย ในรูปแบบของปัสสาวะเป็นส่วนใหญ่ และกระตุ้นให้ตาสว่างเพียง 2-3 ชั่วโมง หลังจากที่ดื่มกาแฟเข้าไปแล้วเท่านั้น
โรคซึมเศร้า





เพราะคาเฟอีนกระตุ้นให้ตาสว่าง ผู้ที่เป็นโรคซึมเศร้าจะมีอาการนอนไม่หลับอยู่แล้ว คาเฟอีนในกาแฟยิ่งกระตุ้นให้ตาสว่าง ก็อาจทำให้อาการของโรคกำเริบขึ้น การดื่มกาแฟเกินวันละ 4 ถ้วย อาจทำให้ได้รับคาเฟอีนมากเกินไปและอาจส่งผลให้อาการซึมเศร้าแย่ลงได้จริง จึงไม่ควรดื่มชาหรือกาแฟตั้งแต่ช่วงบ่ายเป็นต้นไป


อาการปวดศีรษะ












ปริมาณคาเฟอีนที่มากเกินไปอาจทำให้ปวดศีรษะ เนื่องจากเกิดการเปลี่ยนแปลงของเลือดที่ส่งไปสมอง

การถอนคาเฟอีนอย่างรวดเร็ว อาจทำให้ปวดศีรษะอย่างรุนแรง กระสับกระส่าย และง่วงนอน





การดื่มกาแฟไม่เกิน 2-3 ถ้วยต่อวัน ทำให้ปริมาณคาเฟอีนไม่เป็นโทษต่อร่างกาย การดื่มกาแฟแต่น้อยช่วยแก้อาการปวดศีรษะบ่อยๆ ได้


ไม่ควรเลิกกาแฟโดยทันที ควรทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป ค่อยๆ ลดปริมาณการดื่มลง ลดความถี่ในการดื่มด้วย

งานวิจัยล่าสุดจากสหรัฐชี้ว่า คาเฟอีนอาจช่วยรักษาอาการปวดศีรษะจากความเครียด โดยเป็นตัวเร่งให้ยาแก้ปวดชนิดไอบิวโพรเฟนออกฤทธิ์ไวขึ้น

อาการปวดหลัง





นักดื่มกาแฟหลายคนรู้สึกว่า เมื่อดื่มกาแฟแล้วรู้สึกปวดหลังมากขึ้น



หากมีอาการปวดหลัง ควรงดเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เนื่องจากคาเฟอีนจะไปกระตุ้นให้ปลายเส้นโลหิตฝอยตีบลง ซึ่งจะทำให้เลือดและสารอาหารต่างๆ ไหลไปเลี้ยงเนื้อเยื่อของกระดูกสันหลังได้น้อยลง อาจทำให้หายจากอาการปวดหลังได้ช้าลง
วิตกกังวล




การได้รับคาเฟอีนในปริมาณมากเกินไป อาจทำให้กระวนกระวาย ร่างกายตื่นตัวมากเกินไป โดยเฉพาะคนที่ไวต่อสารคาเฟอีน อาจทำให้อาการวิตกกังวลแย่ลง ยอมรับว่าการดื่มกาแฟในปริมาณมากเกินไปส่งผลต่อความวิตกกังวลได้จริง ผู้ดื่มกาแฟจึงควรสังเกตตัวเองว่า ไวต่อคาเฟอีนแค่ไหน แล้วค้นหาปริมาณกาแฟที่เหมาะสมกับตนเอง

กระดูกพรุน




คาเฟอีนในกาแฟมีฤทธิ์ขับแคลเซียมออกจากกระแสโลหิต อาจทำให้ผู้หญิงอยู่ในภาวะเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนมากขึ้น

ยอมรับว่าคาเฟอีนในปริมาณมากเกิน 300 มิลลิกรัมต่อวันจะเข้าไปขัดขวางการดูดซึมของแคลเซียม และเป็นตัวเร่งอันตราการสูญเสียแร่ธาตุจากกระดูกได้ แต่ปริมาณดังกล่าวคือ เกิน 2-3 แก้วต่อวัน
มะเร็งเต้านม




ผู้หญิงมักรู้สึกไม่ดีกับกาแฟมากกว่าผู้ชาย เพราะส่งผลเสียมากกว่า และยังมีความเชื่อที่บอกต่อๆ กันมาว่า กาแฟอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมได้ นักวิจัยมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ของสถาบันคาโรลินสกา ประเทศสวีเดนได้ศึกษาผู้หญิงชาวสวีเดนจำนวนถึง 60,000 คน ด้วยเวลายาวนานถึง 13 ปี พบว่า กาแฟไม่ได้เป็นความเสี่ยงหนึ่งของโรคร้ายนี้แต่อย่างใด
โรคหอบ


เป็นอีกหนึ่งความเชื่อที่บอกต่อๆ กันมาว่ากาแฟมีผลต่อโรคหอบเช่นกัน คาเฟอีนในกาแฟจะระงับการตึงเครียดของประสาทสำรอง อันเป็นส่วนที่ทำให้เกิดโรคหอบหากถูกกระตุ้น
ละลายไขมัน


ยังไม่มีข้อกล่าวหา ว่ากาแฟทำให้อ้วนขึ้น

การดื่มกาแฟเล็กน้อยหลังอาหารช่วยให้ไขมันแตกตัว ทำให้น้ำย่อยในกระเพาะและตับอ่อนหลั่งดีขึ้น ช่วยในการเผาผลาญไขมัน
ความต้องการทางเพศ




คาเฟอีนทำให้ความต้องการทางเพศลดลง



ไม่สามารถหาข้อมูลมายืนยันได้ว่า ข้อกล่าวหานี้จริงหรือไม่จริง แต่การมีระดับคอเลสเตอรอลในเลือดสูง การเป็นโรคความดันโลหิตสูง หรือการใช้ยาบางชนิดก็มีผลทำให้สมรรถภาพทางเพศเสื่อมลงได้เช่นกัน


    กาแฟ …แค่ไหน กับใครดี

ถ้าจะถามว่า ควรดื่มกาแฟวันละมากน้อยแค่ไหน คงหามาตรฐานมาตอบไม่ได้ แต่ทางองค์การอาหาร และยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA) ออกมาชี้แจงว่า หากคุณดื่มกาแฟในปริมาณปานกลางหรือไม่มากนัก คาเฟอีนจะไม่มีผลต่อสุขภาพ คือไม่เกิน 300 ม.ต่อวัน หรือเท่ากับปริมาณกาแฟ 2-3 ถ้วนต่อวัน รวมทั้งควรสังเกตลักษณะอื่นๆ ของตัวเองด้วย เช่น ดื่มกาแฟตอนเย็นทำให้นอนหลับยากในตอนกลางคืนหรือไม่ เพราะกาแฟมีผลต่อร่างกายของแต่ละคนแตกต่างกัน โดยมีคำแนะนำการดื่มกาแฟดังนี้
  • เด็ก เด็กเล็กไม่ควรดื่มกาแฟ โดยเฉพาะเด็กที่อายุต่ำกว่า 10 ปี
  • สตรี ถ้าไม่อยากเสี่ยงกระดูกพรุนตอนอายุมากๆ อาจจำเป็นต้องจำกัดปริมาณกาแฟไม่ให้เกิน 2-3 แก้วต่อวัน

  • สตรีมีครรภ์ ไม่ควรดื่มกาแฟชนิดบดเกินวันละถ้วย หรือกาแฟผงสำเร็จรูปเกินวันละ 2 ถ้วย แต่ถ้างดได้เป็นดีที่สุด เพราะทารกในครรภ์จะดูดซึมคาเฟอีน ไปด้วย แต่จะขับออกช้ากว่าผู้ใหญ่มาก และคาเฟอีนอาจส่งผลต่ออวัยวะภายในของทารกที่ยังอ่อนแออยู่

  • มารดาที่ให้นมบุตร ไม่ควรดื่มกาแฟ เพราะทารกต้องการน้ำนมบริสุทธิ์จากแม่ การดื่มอะไรเข้าไปจะส่งผลต่อทารกได้ จึงควรระวังเป็นพิเศษ และมีการศึกษาพบว่า คาเฟอีนในกาแฟสามารถผ่านน้ำนมมาสู่ลูกได้ ทารกจึงอาจได้รับผลจากคาเฟอีน โดยอาจไปกระตุ้นสมอง ทำให้ตื่น กระวนกระวาย ไม่ยอมนอน ทั้งอาจมีผลต่อกระเพาะและลำไส้ของทารก

  • ผู้ที่เป็นโรคหัวใจ ถ้าเป็นคนชราที่มีโรคหัวใจอยู่ คาเฟอีนในกาแฟจะทำให้การทำงานของหัวใจมีประสิทธิภาพมากเกินไป อาจทำให้หัวใจเสื่อมเร็วขึ้น

  • ผู้ที่เป็นโรคกระเพาะ ควรงดกาแฟ เพราะคาเฟอีนจะกระตุ้นการหลั่งของน้ำย่อยในกระเพาะ ยิ่งเพิ่มกรดในกระเพาะให้อักเสบมากขึ้น

    วาทะปิดท้าย

การดื่มกาแฟเป็นสิ่งที่พบเห็นได้ทั่วโลก มีขายอยู่แทบทุกหนแห่ง แซงหน้า 7-eleven ได้อย่างสบาย ร้านขายกาแฟเป็นสิ่งที่หาได้ไม่ยาก และกลายเป็นที่พักผ่อนยามว่างของหลายๆ คน สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงบทบาทของกาแฟที่มีในชีวิตประจำวัน ข้อดีของกาแฟจึงไม่ใช่แค่แก้ง่วง ช่วยให้กระปรี้กระเปร่า หรือลดโคเลสเตอรอลได้เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงเรื่องทางสังคม และวัฒนธรรมของแต่ละแห่งอีกด้วย

วิวาทะครั้งนี้ บทสรุปจะเป็นอย่างไร บางที…คุณผู้อ่านเท่านั้นที่ตอบได้


อะไรมีคาเฟอีนมากกว่ากัน
เพราะคาเฟอีนไม่ได้มีในกาแฟเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เรายังเห็นได้ในอาหารหลายชนิดเช่น
  • กาแฟต้ม 1 มีคาเฟอีน 115 มก.
  • กาแฟแบบผงชง 1 ถ้วย มีคาเฟอีน 65 มก.
  • ยาแก้ปวด 2 เม็ด มีคาเฟอีน 60 มก.
  • โคล่าชนิดไดเอต (ขนาดกระป๋อง) มีคาเฟอีน 53 มก.
  • ชา 1 ถ้วย มีคาเฟอีน 40 มก.
  • โคล่า (ขนาดกระป๋อง) มีคาเฟอีน 40 มก.
  • ช็อกโกแลตนม 1 แท่ง (55 ก.) มีคาเฟอีน 17 มก.
  • เครื่องดื่มโกโก้ 1 ถ้วย มีคาเฟอีน 4 มก.
  • กาแฟชนิดไม่มีคาเฟอีน (Decaffee) 1 ถ้วย มีคาเฟอีน 3 มก.
กาแฟ VS โคเลสเตอรอล
ยกมาเป็นประเด็นใหญ่ เพราะมีข้อสันนิษฐานว่ากาแฟอาจทำให้ระดับโคเลสเตอรอลในเลือดสูงขึ้น หรือผู้ที่ดื่มกาแฟจัดๆ มากกว่าวันละ 5-6 ถ้วย จะมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจเพิ่มขึ้นด้วย
แต่มีข้อเท็จจริงที่น่าเชื่อถือว่า ความเสี่ยงนี้น่าจะเป็นผลเนื่องจากวิธีการชงมากว่าสารคาเฟอีนที่มีอยู่ในกาแฟ
เพราะพบว่าหากใช้หม้อต้มกาแฟ หรือเครื่องชงแบบให้น้ำเดือดซึมผ่านผงกาแฟ (Percolator) หรือชงแบบเอสเปรสโซคือ ให้ไอน้ำอัดผ่านผงกาแฟ หรือแบบเทน้ำร้อนใส่กาแฟบดแล้วนำไปต้ม จะมีสาร 2 ชนิดคือ คาเฟสทอล (Cafestol) และคาเวออล (Kahweol) ที่มีอยู่ตามธรรมชาติของเมล็ดกาแฟถูกขับออกมาด้วย ซึ่งสารทั้งสองนี้มีฤทธิ์ทำให้ระดับโคเลสเตอรอลในเลือดสูงขึ้น และจะทำให้มีอัตราเสี่ยงต่อโรคหัวใจเพิ่มขึ้น แต่กระบวนการผลิตกาแฟผงสำเร็จรูปและการชงกาแฟโดยใช้กระดาษกรองนั้น จะช่วยขจัดสารไม่พึงประสงค์เหล่านี้ออกไปได้


(update 4 กุมภาพันธ์ 2003)
[ ที่มา..หนังสือ นิตยสารใกล้หมอ ปีที่ 26 ฉบับที่ 7 กรกฎาคม 2545 ]


[ BACK TO LIST]

main พบแพทย์ คอมพิวเตอร์ เรื่องบ้าน เรื่องรถ เรื่องกฏหมาย เรื่องของผู้บริโภค เรื่องเบาๆ คลายเครียด

มีปัญหาสุขภาพ ที่นี่มีคำตอบ ห้องสมุด E-LIB
Best view with [IE3.02][NETSCAPE 4.05][OPERA 3.21] resolution 800x600