โฟเลต สำคัญไฉน ?


ทำไมนมบางยี่ห้อจึงเสริมโฟเลต อาหารชนิดนั้นก็เติมโฟลิก โน่นก็ใส่โฟลาซิน อะไรกันนักกันหนา แต่ก่อนไม่เห็นจะเคยได้ยินชื่อ ถึงวันนี้ทำไมมีคนพูดถึงกันมาก

ครับ ช่วงนี้จัดเป็นนาทีทองของโฟเลต หลังถูกค้นพบมานานเกือบศตวรรษ และปรากฏชื่ออย่างหงอยเหงาในตำราทางการแพทย์ส่วนใหญ่ บัดนี้กำลังมีงานวิจัยออกใหม่ๆ แสดงให้เห็นคุณค่าต่อสุขภาพอย่างที่ไม่เคยรับรู้กันมาก่อน ชื่อเสียงไหลมาเทมา และวงการแพทย์ก็ตอบรับผลการค้นพบด้วยดี ทั้งในแง่คำแนะนำให้บริโภค และในแง่นโยบายของรัฐ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาอนุญาตให้อาหารหลายยี่ห้อเสริมโฟเลตได้

โฟเลตคืออะไร ? มาทำความรู้จักไว้ จะได้ไม่ตกรถไฟสายสุขภาพครับ

โฟเลต อาจถูกเรียกขานว่า กรดโฟลิกหรือโฟลาซินก็ได้ หมายถึงวิตามินตัวเดียวกัน โฟเลตเป็นสารอาหารจำพวกวิตามินบี (วิตามินบีมีหลายชนิด เช่น บี 1 บี 2 ไนอาซิน ฯลฯ โฟเลตก็เป็นหนึ่งในกลุ่มวิตามินบี) มีบทบาทสำคัญ ช่วยให้เซลล์ในร่างกายเจริยอย่างที่ควรเป็นและช่วยให้ระบบเลือดสมบูรณ์แข็งแรง หากหญิงที่กำลังตั้งท้องขาดวิตามินตัวนี้ อาจทำให้ทารกถึงขั้นพิกลพิการทางสมอง

ความสำคัญของโฟเลต

คำว่าโฟเลต มาจากรากศัพท์ Folium ซึ่งแปลว่า ใบไม้ การที่มีชื่อเช่นนี้เพราะพบได้มากที่สุดในใบไม้ และชื่อ "โฟเลต" มิได้หมายถึงสารชนิดใดชนิดหนึ่ง แต่เป็นกลุ่มสารเคมีเกือบน้อยชนิดที่มีในใบไม้สีเขียวเข้ม

ทั้งๆ ที่โฟเลตมีความสำคัญต่อสุขภาพมาก แต่คนส่วนใหญ่กลับรู้จักกันแต่วิตามินอี วิตามินซี เห็ดหลินจือ หรือกระเทียมแคปซูล ด้วยเหตุนี้เองประชากรเกือบครึ่งหนึ่งจึงอาจเสี่ยงต่อการขาดโฟเลตได้ง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสตรีมีครรภ์และคนที่กินอาหารฟาสต์ฟู้ดแบบฝรั่ง ซึ่งหนักแป้ง ไขมัน และเนื้อสัตว์

ในปี 1931 ดร.แมรี่ วิลส์ ได้พบภาวะโลหิตจางในสตรีมีครรภ์ชาวอินเดีย เธอไม่รู้ว่าทำไมคนเหล่านั้นจึงมีอาการป่วย แม้ให้ธาตุเหล็กบำรุงโลหิตก็ไม่ทำให้อาการดีขึ้น แต่ข้อสังเกตคือ หญิงมีครรภ์เหล่านั้นบริโภคข้าวขัดขาวและขนมปังขาว

สิบปีต่อมา จึงมีการค้นพบกรดโฟลิก โดยนักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งสามารถสกัดวิตามินตัวนี้ ได้จากผักปวยเล้งปริมาณกว่าสามตัน ด้วยเหตุที่ได้จากใบไม้สีเขียวเข้มนี้เอง นักวิทยาศาสตร์จึงเรียกมันว่ากรดโฟลิก แต่ชื่อวิทยาศาสตร์จริงๆ คือ PGA หรือ Pteroylglutamic Acid

ถึงวันนี้ เรารู้ว่าแม้ร่างกายไม่จำเป็นต้องได้รับวิตามินตัวนี้มากนักในวันหนึ่งๆ แต่การขาดโฟเลตก็เป็นอันตรายต่อการสร้างเม็ดเลือดแดง และการสร้างสารพันธุกรรมในร่างกาย

งานวิจัยที่เห็นผลชัดเจนคือ การค้นพบคุณประโยชน์ของโฟเลตที่มีต่อความพิการของทารกแรกคลอด อันเกิดจากพัฒนาการที่ผิดปกติในระหว่างการสร้างสมองและประสาทสันหลัง เป็นความพิการอันดับต้นๆ ที่มักพบในทารกทั่วโลก ทารกที่เกิดจากมารดาที่ขาดโฟเลตมีความเสี่ยงอย่างมาก ที่จะกลายเป็นคนพิการทางสมองและประสาท เรียกว่า Neural tube Defects

อาการพิการทางสมองนี้มี 2 ชนิดคือ Spina bifida และ Anencephaly พบได้ทั่วโลก มีลักษณะเฉพาะคือ หากมารดาขาดโฟเลตในช่วงตั้งครรภ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่าง 6-9 เดือนสุดท้าย การเจริญของสมอง และประสาทไขสันหลังจะผิดปกติ ถ้าเป็นแบบ Spina bifida พบว่าเยื่อหุ้มไขสันหลังจะปิดไม่สนิท เด็กอาจเติบโตขึ้นมาพร้อมอาการอัมพาต ไม่สามารถควบคุมการขับถ่าย ทั้งถ่ายหนักและถ่ายเบา ส่วนแบบ Anencephaly พบว่าสมองบางส่วนหายไปหรืออาจเกิดมาโดยไม่มีสมอง

มันเกิดกับทารกน้อยในครรภ์เพียงเพราะคุณไม่กินโฟเลตให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย

คุณเป็นคนหนึ่งหรือเปล่าที่ไม่ชอบทานผัก ระวังให้ดี คุณจำเป็นต้องปรับปรุงนิสัยขณะตั้งครรภ์ เพื่อลูกของคุณเอง

มีการศึกษาในยุโรป 5 ประเทศ รวมทั้งอิสราเอล แคนาดา แสดงให้เห็นว่า อาการพิกลพิการที่ว่ามานี้ จะลดลงได้ถึงร้อยละ 70 หากมารดาได้รับโฟเลตอย่างน้อย 0.4 มิลลิกรัมต่อวัน การทดลองครั้งนี้ทำโดย เลือกหญิงที่มีประวัติคลอดทารกพิการครรภ์ที่ผ่านมา นำมาแยกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกได้รับโฟเลตทุกวัน อีกกลุ่มได้รับยาแป้งหลอก (คือให้กินแป้งเปล่าๆ อัดเม็ด) จากนั้นติดตามดูความแตกต่างระหว่างคนที่ได้รับโฟเลต กับคนที่กินแป้งเปล่า พบว่าโฟเลตช่วยลดความเสี่ยงจากการพิการทางสมองได้จริง


ผลต่อระบบหลอดเลือด หัวใจ และมะเร็ง

โฟเลตยังมีบทบาทสำคัญในการป้องกันโรคในระบบหลอดเลือดและหัวใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคหัวใจวายและสโตร๊กหรือโรคเส้นเลือดในสมองตีบตันจนเกิดอาการอัมพรึกอัมพาต นักวิจัยได้พบความสัมพันธ์ระหว่างโฟเลตกับสารก่อโรคตัวสำคัญ กล่าวคือเมื่อโฟเลตในร่างกายเพิ่มขึ้น สารโฮโมซีสทีน (homocysteine) ในกระแสเลือดก็ลดลง เป็นที่รู้จักกันก่อนแล้วว่าสารโฮโมซีสทีนนี้ร้ายมาก สามารถใช้เป็นตัวบ่งชี้ความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและสโตร๊กได้ดีกว่าโคเลสเตอรอลเสียอีก

แต่ไม่ต้องวิตกเกินไป โฟเลตมิใช่วิตามินเพียงหนึ่งเดียวที่ขจัดโฮโมซีสทีน ยังมีวิตามินอื่นร่วมด้วยช่วยกัน ทำงานเป็นทีม เช่น วิตามินบี 6 และบี 12 เป็นต้น

ในการศึกษาหาบทบาทของวิตามินสารอาหารต่อโรคมะเร็ง โฟเลตก็เป็นดาวเด่นอีกเช่นกัน มีความเป็นไปได้สูงว่าโฟเลตจะช่วยป้องกันมะเร็งปากมดลูกและมะเร็งลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย โดยการป้องกันมิให้ดีเอ็นเอถูกทำลาย


ร่างกายต้องการโฟเลตเพียงใด

ร่างกายต้องการโฟเลตมากน้อยเพียงใดจึงจะป้องกันโรคได้ หน่วยงานสาธารณสุขที่เรียก The Us Public Health Service แนะนำว่าทั้งชายและหญิงควรกินโฟลาซินให้ได้วันละ 400 ไมโครกรัม ขนาดเพียงแค่นี้มีเพียงพอ ในอาหารประจำวันหากกินหลากหลายครบหมู่ แหล่งโฟเลตสำคัญคือ ถั่วเมล็ดแห้ง ส้ม ผักสีเขียว ถั่วลิสง คะน้า แตง เมล็ดทานตะวัน มะเขือเทศ นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูปหลายยี่ห้อยังเสริมโฟเลต ลองสังเกตฉลาก

ดังนั้นคนทั่วไปจึงไม่จำเป็นต้องเสริมโฟเลต ยกเว้นคนบางคนที่กินอาหารไม่ครบหมู่ อาจต้องเสริมโฟเลตและวิตามินเกลือแร่พร้อมกับปรับสุขนิสัย มิใช่โยนวิตามินเข้าปาก แล้วกินอาหารตามใจฉันเหมือนเดิม

แต่สำหรับหญิงมีครรภ์ การเสริมโฟเลตเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อป้องกันทารกพิการ แพทย์จะพิจารณาจ่ายในรูปวิตามินรวม หรือวิตามินบีรวมเมื่อไปฝากครรภ์ คนชรา ผู้ป่วยเรื้อรังที่กินอาหารได้น้อยก็อาจจำเป็นต้องเสริมโฟเลตเช่นเดียวกัน

สำหรับบัญชียาหลักแห่งชาติของประเทศไทยนั้น แนะนำขนาด 0.2-0.5 มิลลิกรัมต่อวัน ในหญิงมีครรภ์ แต่ทั้งนี้ ควรปรึกษาแพทย์ที่ท่านฝากครรภ์ เพราะหมออาจจ่ายโฟเลตให้ท่านแล้ว ถ้าซื้อมาทานเอง อาจได้รับเพิ่มเป็นสองเท่าก็ได้

ดร.กอดเฟรย์ โอคเลย์ ผู้อำนยการแผนกทารกพิการโดยกำเนิดแห่งศูนย์ควบคุมโรคแห่งชาติอเมริกา กล่าวว่า หญิงท้องจะขาดโฟเลตรุนแรงในช่วงแรกที่ตัวอ่อนในมดลูกกำลังสร้างสมองและประสาท แต่มีหญิงราวร้อยละ 40 ที่ไม่ได้วางแผนล่วงหน้าว่าจะมีครรภ์ บางครั้งกว่าจะรู้ตัวก็อาจสาย จึงแนะนำให้หญิงสาวทานอาหารที่มีผักใบเขียวให้มาก และเสริมโฟเลตในขนาด 0.2 มิลลิกรัมต่อวัน หลังตัดสินใจมีบุตร

และเมื่อศึกษาพฤติกรรมการบริโภคอาหารของหญิงมีครรภ์ในปัจจุบันนี้ พบด้วยความน่าตกใจว่า หญิงมีครรภ์และประชาชนจำนวนมากกินพืชผักสีเขียวไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย อยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการขาดโฟเลต การสำรวจพบว่า หญิงวัย 20-44 ร้อยละ 20 ได้รับโฟเลตในอาหารน้อยกว่าที่กำหนด และเมื่อสำรวจวัยรุ่นอเมริกา ซึ่งนิยมอาหารฟาสต์ฟู้ด พบว่าขาดวิตามินตัวนี้ถึงครึ่งต่อครึ่ง

ด้วยเหตุนี้เอง ในปี 1992 กระทรวงสาธารณสุขอเมริกา จึงได้ออกมาประกาศแนะนำหญิงท้องให้เสริมโฟเลต ในขนาด 0.4 มิลลิกรัม (หรือ 40 ไมโครกรัม) ทุกวัน เพื่อป้องกันทารกพิการ


สิ่งที่ควรคำนึง

โฟลเตก็เหมือนวิตามินเกลือแร่ทั้งหลายที่มีอยู่แล้วในอาหารธรรมชาติ ควรเลือกกินอาหารธรรมชาติเป็นแหล่งวิตามินอันดับแรก

เนื่องจากโฟเลตละลายได้ดีในน้ำ มันจึงอาจสูญหายไปในระหว่างการปรุงและล้างอาหาร จึงควรเลือกวิธีประกอบอาหารที่ใช้น้ำน้อยๆ เช่นต้มหรือลวกผักในน้ำน้อยๆ และกินน้ำต้มผักด้วย

ผักนึ่งจะมีโฟเลตเหลือมากกว่าผักต้ม แต่เมล็ดถั่วต้มจะยังคงปริมาณโฟเลตไว้ได้มาก
ผักผลไม้ที่ยังสดกรอบมีโฟเลตมากกว่าผักเหี่ยว จึงควรปรุงอาหารทันที อย่าเก็บไว้นาน

กินผักผลไม้เยอะๆ กินถั่วเมล็ดและถั่วฝักเป็นประจำ ช่วยรับประกันว่าคุณจะได้ทั้งโฟเลต ไฟเบอร์ วิตามิน เกลือแร่ หลากหลาย เพียงพอ…แน่นอน


(update 13 มิถุนายน 2003)
[ ที่มา..หนังสือ นิตยสารใกล้หมอ ปีที่ 27 ฉบับที่ 2 มีนาคม 2546 ]


[ BACK TO LIST]

main พบแพทย์ คอมพิวเตอร์ เรื่องบ้าน เรื่องรถ เรื่องกฏหมาย เรื่องของผู้บริโภค เรื่องเบาๆ คลายเครียด

มีปัญหาสุขภาพ ที่นี่มีคำตอบ ห้องสมุด E-LIB
Best view with [IE3.02][NETSCAPE 4.05][OPERA 3.21] resolution 800x600