เมื่อไม่นานมานี้ ได้มีโอกาสไปสอนเพศศาสตร์ศึกษาแก่นักศึกษาปริญญาโท
ของสถาบันการศึกษาแห่งหนึ่งในหัวข้อเรื่อง... เพศสัมพันธ์ก่อนสมรส
นักศึกษาทั้งหลายก็เกิดความสงสัยว่า โดยแท้จริงแล้ว มันมีความหมายมากน้อยขนาดไหน
ซึ่งก็คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับผู้อ่านไม่มากก็น้อย เพราะได้มีการอภิปรายถึงผลกระทบในแง่มุมของสัมพันธภาพ
ครอบครัว สังคม และสุขภาพในส่วนที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อดังกล่าว
หลายคนอาจจะมองว่าเชยกันไปแล้ว ที่จะพูดกันถึงเพศสัมพันธ์ก่อนสมรส
เพราะแทบจะเป็นเรื่องธรรมด๊าธรรมดาของคนในสังคมยุคใหม่นี้ ที่มีอิสระเสรีภาพที่จะทำอะไรก็ได้
แต่ช้าก่อน... เคยคิดกันให้ลึกๆ ไหมว่า เพศสัมพันธ์ก่อนสมรสนั้น มีเรื่องราวที่น่าสนใจมากมายเลย
และต้องขอบอกก่อนว่า เวลาที่พูดถึงเพศสัมพันธ์ก่อนสมรสนั้น หมายถึงกิจกรรมทางเพศต่างๆ
ที่คนสองคนมีร่วมกัน ก่อนที่จะแต่งงานกันอย่างเป็นทางการนะ
ถึงจะอยู่กันเฉยๆ โดยไม่จดทะเบียนสมรส แม้ว่าคนทั่วไปอาจจะรู้ก็ไม่ได้หมายความว่าจะสมรสแล้ว
เพราะความหมายของคำว่าสมรสนั้น ก็คือ จะต้องกระทำการให้ปรากฏและเป็นที่ยอมรับของสังคมว่าจะใช้ชีวิตคู่ด้วยกัน
รวมทั้งต้องไปจดทะเบียนที่สถานที่ราชการที่มีสิทธิจดทะเบียนสมรสให้ จึงจะถือได้ว่า สมรสแล้วสมบูรณ์แบบ
จะสมรส... แล้วสมรักหรือไม่ เป็นเรื่องราวของวันหน้า แต่ก่อนจะสมรสกันนั้น กิจกรรมทางเพศทั้งหลาย
ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ครบถ้วนกระบวนความตามต้องการไหม ถือว่าเป็นเพศสัมพันธ์ก่อนสมรสที่คนทั่วไปเรียกว่า
...อยู่ก่อนแต่ง นั่นแหละ
จะไม่เขียนให้อ่านดีกว่า ว่าอยู่ก่อนแต่ง กับแต่งก่อนอยู่ อย่างไหนจะดีกว่ากัน เพราะเป็นปัญหาโลกแตก
และหลายต่อหลายคนก็มักจะมีมุมมองต่างกันตามทัศนคติ รวมทั้งการได้รับการสั่งสอนเล่าเรียนมา
เถียงกันไปก็ไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์ หรือทำให้มีภูมิปัญญาขึ้นแต่อย่างใด
และสำหรับใครที่คัดค้านจนหัวชนฝานั้น... เคยคิดบ้างไหมว่าได้ไปละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของคนอื่นเขา
ตามที่มีบทบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ !!
ทุกคนมีสิทธิที่จะเสนอสิ่งที่ดีงามให้สังคมได้รับรู้และถือปฏิบัติ แต่ถ้าสิทธิของตน
เอาไปละเมิดสิทธิของผู้อื่นเขาแล้ว ก็ควรจะระงับไว้บ้าง
มาเข้าเรื่องของอยู่ก่อนแต่งกันจะดีกว่า...
ที่จริงแล้วปรัชญาของการอยู่ก่อนแต่งนั้น เป็นปรัชญาของสังคมตะวันตกที่ไม่ได้ถือสาหาความ
ในเรื่องของการรักษาพรหมจารีย์ของผู้หญิงมากมายนัก เหมือนในสังคมตะวันออก และก็บอกยากว่า
วัฒนธรรมแบบไหนจะดีกว่ากัน เพราะวัฒนธรรมของแต่ละสังคมย่อมเหมาะกับสังคมนั้นๆ มากกว่าสังคมอื่น
แต่ปัจจุบัน... โลกของเราใบนี้เล็กลง
การเดินทางติดต่อไปมาหาสู่กันทำได้สะดวกขึ้น การรับรู้ข่าวสารต่างๆทำได้อย่างรวดเร็ว
และรู้เท่าเทียมกันเกือบจะทุกหนแห่งในโลก วัฒนธรรมต่างๆได้รับการเผยแพร่
และถ่ายทอดถึงกันอย่างไม่มีกำแพงอะไรมากีดกั้น โดยเฉพาะเรื่องราวของสัมพันธภาพของคนสองคน
รวมทั้งการประกอบกิจกรรมเพื่อเพิ่มความสัมพันธ์ให้ลึกซึ้งมากขึ้นนั้น
เป็นเรื่องราวที่เป็นพื้นฐานของการใช้ชีวิตของบุคคลอยู่แล้ว ย่อมยากที่จะปิดกั้นไม่ให้รับรู้ได้
และเรื่องราวของการอยู่ก่อนแต่งนั้น ความจริงก็มีอยู่ในสังคมไทยมานานแล้ว แม้กระทั่ง
วรรณคดีต่างๆ ก็มีเรื่องราวของการอยู่ก่อนแต่งเป็นประจำสม่ำเสมอ จนราวกับว่า
การอยู่ก่อนแต่งนั้นก็เป็นวิถีทางแบบหนึ่งของการมีสัมพันธภาพของคนสองคนมาช้านานแล้ว
เพียงแต่ในยุคปัจจุบันมีปัจจัยเสี่ยงเพิ่มขึ้น... ก็คือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ทั้งหลายที่ยกขโยงกันมา
ตั้งแต่หนองใน ทั้งหนองในแท้ หนองในเทียม ที่ใครติดไปแล้วรักษาไม่ดีอาจจะกลายเป็นหมันได้
นอกจากนี้ก็ยังมีทั้ง พยาธิ เชื้อรา เหา โลน เห็บ กลากเกลื้อน หูดหงอนไก่ หูดข้าวสุก ซิฟิลิส ฝีมะม่วง
และโรคที่ร้ายกว่านั้น เช่น เริมและเอดส์ เป็นต้น
การจะอยู่ก่อนแต่ง แม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องผิดบาปหรือผิดธรรมชาติ แต่เป็นกิจกรรมที่ค่อนข้างจะอันตรายและไม่ปลอดภัย
เชื่อไหมว่า การไปใช้บริการทางเพศจากสตรีที่มีอาชีพพิเศษยังปลอดภัยกว่า
เพราะชายชาตรีทุกคนไม่ค่อยมีใครคิดว่าแน่ มักจะพกพาถุงยางอนามัยและใช้เป็นส่วนใหญ่
แต่ในความเป็นจริงกลับปรากฏว่า การถ่ายทอดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์นั้นกลับมีโอกาสสูงมาก
ในหมู่ของชายหญิงที่แสวงหาความสุขทางกายที่เรียกว่า อยู่ก่อนแต่ง!!!
เหตุผลก็คือ คิดว่าคบกันมานานบ้าง รู้ใจกันบ้าง ไม่น่าจะเคยมีอะไรกับใครมาก่อนบ้าง หน้าตาสะอาดสะอ้านบ้าง
แต่ถามจริงๆ เถอะ ถ้าคุณเคยมีเพศสัมพันธ์มาก่อนโดยไม่ได้มีการป้องกันตัวนั้น
คุณจะบอกแฟนใหม่ของคุณไหม?? ...คำตอบสุดท้าย ก็คือ ไม่
ขืนบอกออกไป มีหวัง...อด!!
เมื่อเป็นแบบนี้แล้ว เพศสัมพันธ์ก่อนแต่งจะปลอดภัยได้อย่างไร ถ้าไม่รู้จักการร่วมรักที่ปลอดภัย
คือผู้ชายทุกคนจะต้องสวมถุงยางอนามัยทุกครั้งที่จะมีเพศสัมพันธ์ และผู้หญิงทุกคน
ถ้าคิดจะอยู่ก่อนแต่งอย่าได้แน่ใจเด็ดขาดว่าแฟนของคุณปลอดภัย มติประจำใจก็คือ
ไม่สวมถุงยางอนามัย ไม่มีทางได้แอ้ม
...แบบนี้ก็ยังพอยอมรับได้ว่า เป็นเพศสัมพันธ์ที่มีความรับผิดชอบ ทั้งต่อตนเอง
ต่อครอบครัว ต่อสังคม และประเทศชาติ
ปัจจัยเสี่ยงต่อมาของการอยู่ก่อนแต่งก็คือ... การตั้งครรภ์ นั่นเอง
และผู้ที่จะได้รับผลกระทบโดยตรงก็มักจะเป็นผู้หญิงที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์
อยากจะบอกจริงๆ เลยว่า ผู้ชายที่น่ารัก เป็นสุภาพบุรุษและรับผิดชอบ ยังมีอยู่มากมายในสังคมของเรา
และรอคอยที่จะเป็นคู่ชีวิตของผู้หญิงอยู่ เพราะฉะนั้นอย่าได้ไปหลงคารมของผู้ชายประเภทร้อยเล่ห์หว่านเสน่ห์
เพื่อที่จะได้ลิ้มลองความเป็นสาว ก่อนที่จะทิ้งไปเชยชมหญิงอื่นเลย จะได้ไม่ต้องมาโทษว่ากันว่า
ผู้ชายเดี๋ยวนี้ไม่รับผิดชอบ
...ก็พลาดไป เพราะไปหลงความผู้ชายร้อยเล่ห์เสียก่อนนี่!!
และเรื่องของการอยู่ก่อนแต่งนี้ เมื่อความรักความพึงพอใจหมดไปแล้ว เส้นทางชีวิตก็จะต้องแยกจากกันไป
เหลือแต่รอยปวดร้าวในใจอย่างมิอาจที่จะเยียวยา นอกจากจะปล่อยให้กาลเวลาช่วยชะล้างแผลใจดังกล่าวให้หายไป...
เหลือไว้แต่แผลเป็น
ใครว่าเรื่องนี้ผู้ชายไม่รับผิดชอบ... แต่ฝ่ายเดียว
" คุณหมอครับ อยากจะเขียนจดหมายมาระบายความทุกข์ใจให้อ่านหน่อย
และอยากถามว่า ทำไมผู้หญิงเดี๋ยวนี้เขาไม่รับผิดชอบเรื่องราวที่ตนเองร่วมกันก่อบ้าง อยากถามจริงๆ ว่ามาบอกรักผม
มีสัมพันธ์ทางเพศกับผมแล้ว ทำไมถึงบอกเลิกคบกับผมไปดื้อๆ ทั้งๆ ที่ผมก็พร้อมที่จะรับผิดชอบสิ่งที่ผมได้ทำลงไปกับเธอ
แต่เธอกลับไม่รับผิดชอบที่จะสานสัมพันธภาพกับผมต่อไป เพื่อที่จะใช้ชีวิตคู่ร่วมกันในอนาคต
ทำไมผู้หญิงเดี๋ยวนี้จึงหมดความรับผิดชอบ ไม่รักนวลสงวนตัวแล้ว"
...นั่นคงจะเป็นจดหมายของหนุ่มน้อย ที่สาวฟันแล้วทิ้ง เป็นการแสดงให้เห็นว่า เดี๋ยวนี้ไม่ว่าชายหรือหญิง
ก็มีสิทธิที่จะโดนทิ้งหลังจากการอยู่ก่อนแต่งเท่าเทียมกัน
และคงจะไม่เกินเลยไปนัก หากจะกล่าวว่า เดี๋ยวนี้ผู้หญิงบอกเลิกผู้ชายก่อนมากกว่า ผู้ชายบอกเลิกผู้หญิงนะ
...เชื่อหรือไม่ ก็ตามใจคุณ!!
(update 24 กันยายน 2000)
[ ที่มา...
เนชั่นสุดสัปดาห์ ปีที่ 12 ฉบับที่ 588 วันที่ 8 -14 ก.ย. 2546]
|