โรคเริมซ้ำซาก


หญิงวัยกลางคนต้องเดินทางมาจาก จ.เลย เพื่อมารักษาโรคเริมที่เป็นซ้ำซาก เป็นๆ หายๆ บริเวณก้นย้อยข้างซ้าย แต่ละครั้งมีประมาณ 4-5 หย่อมของโรคเริม ก่อให้เกิดอาการเจ็บปวด นั่งไม่ถนัดและทรมานมาก ต้องมารักษาที่กรุงเทพฯ เพราะบังเอิญหมอฉีดยาแก้อักเสบใกล้ๆ บริเวณแผลทำให้หายเจ็บได้เร็ว สามารถนั่งนอนหงายได้ แม้จะต้องเดินทางไกลก็ยอมลงทุนเสียเวลา สอบถามประวัติการดำเนินชีวิตพบว่า มีลูกเล็กๆ 3 คน ทำงานบริการลูกค้าตั้งแต่เช้าถึงเย็น เหนื่อยมาก นอนดึกและเครียดด้วย ซึ่งคงไม่มีเวลาพักเพื่อออกกำลังกาย ทำให้ร่างกายอ่อนแอเป็นบ่อเกิดของการติดโรคเริมซ้ำซาก

เนื่องด้วยโรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัส ซึ่งกระจายตัวอยู่ในบรรยากาศทั่วๆ ไป หลายคนได้รับเชื้อมาติดที่ผิวพรรณแต่หลุดออกไปเอง โดยเชื้ออาจตายหรือถูกชะล้างออกขณะอาบน้ำและฟอกสบู่ ส่วนรายที่เชื้อยังคงติดอยู่และก่อโรคเริมนั้น มักเกิดจากความอ่อนแอของคนนั้นเอง ความอ่อนแอของร่างกายเกิดโดยบังเอิญ เจ้าตัวไม่รู้ มิใช่จะแสดงอาการเด่นชัดให้รู้ เช่น ไม่ผอมลง ไม่เบื่ออาหาร ไม่มีไข้ ไม่ต้องมีอาการอ่อนเพลียจนต้องหยุดพักการทำงาน เพียงแต่มีโรคเริมที่ผิวพรรณเท่านั้น ส่วนจะเป็นซ้ำซากสักกี่ครั้ง หรือเป็นกี่แห่งในแต่ละครั้ง ขึ้นกับความแข็งแรงของแต่ละคนเท่านั้น

เมื่อเป็นโรคเริมซ้ำซาก คือ หายแล้วกลับเป็นซ้ำในบริเวณใกล้เคียงกับที่เดิม ควรแก้ไขดังต่อไปนี้
1. เริ่มด้วยการรับการรักษาที่ถูกต้อง และได้ผลจากแพทย์ผู้ชำนาญการ โดยการทายาหรือรับประทานยาที่สามารถกำจัดเชื้อได้โดยเร็ว

2. ลดความเครียดในจิตใจให้ได้ เริ่มตั้งแต่ความเครียดในชีวิตครอบครัวที่เกิดจากความประพฤติของสามี ภรรยา หรือบุตร ถ้ามีก็ควรทำจิตใจให้ว่างบ้าง ความเครียดจากการทำงานหรือการประกอบอาชีพซึ่งแก้ค่อนข้างยาก เพราะจะเกี่ยวกับรายได้และตำแหน่งของตนเอง แต่ก็ต้องพยายามฝึกจิต ทำงานให้ดีที่สุด ส่วนจะก้าวหน้ามากเพียงใด ก็ต้องทำใจยอมรับให้ได้ เมื่อไม่มีจิตใจเครียด ผิวพรรณก็จะมีสุขภาพที่ดีขึ้น

3. พักผ่อนให้เพียงพอ โดยเฉพาะการนอน ควรนอนอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง การอดนอนหรือนอนหลับไม่เพียงพอ จะทำให้ร่างกายอ่อนแอลง เห็นได้อันดับแรกคือเป็นโรคเริม ผู้มีภาระต้องทำงานดึก หรือทำงานตลอดคืน ควรนอนตื่นสายบ้าง หรือนอนช่วงกลางวัน ถ้านอนแล้วรวมได้ 6-8 ชั่วโมงดังกล่าวก็จะไม่เกิดปัญหากับร่างกาย ในรายที่ทำงานกลางคืน แล้วกลางวันนอนไม่หลับเพราะผิดเวลา แต่กลับออกไปเที่ยวเตร่ จะทำให้ร่างกายอ่อนแอมากขึ้น

4. ออกกำลังกาย แต่ละคนต้องพยายามหาเวลาว่างสำหรับตนเองให้ได้อย่างน้อยวันละ 1.5-1 ชั่วโมง เพื่อออกกำลังกาย ซึ่งไม่ต้องการพื้นที่กว้างขวางอะไร ถ้ามีเวลาน้อยบริหารร่างกายในห้องนอนก็ได้ เพราะการเดินทางไปออกกำลังกายตามสถานบริหารร่างกายภายนอกบ้าง อาจทำให้เสียเวลามากขึ้น ถึงขั้นหมดโอกาสออกกำลังกายก็เป็นได้ การนั่งสมาธิหรือการทำจิตว่าง แม้เพียง 1.5-1 ชั่วโมง ก็เป็นการพักผ่อนทางจิตที่ดี มีผลให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นด้วย

5. งดดื่มสุราจนมึนเมา เพราะพฤติกรรมเช่นนี้จะทำให้หลับในสภาพหมดสติ ผิวพรรณเปื้อนเหงื่อไคลมาแล้ว แต่ยังไม่ทำความสะอาด ต้องหมักหมมในสภาพหลับสนิทอีกหลายชั่วโมง เป็นการก่อโรคและประการสำคัญที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือ ถ้าอากาศหนาวเย็น คนเมาก็จะหลับโดยไม่ได้ห่มผ้า ทำให้สภาพร่างกายทั่วไปอยู่ในสภาพหนาวสั่นและอ่อนแอลงไปได้อีก

6. ทำความสะอาด เสื้อผ้า กางเกงนอ กางเกงใน ผ้าเช็ดตัว ผ้าปูที่นอน ที่สัมผัสกับเชื้อเริม ต้องทำการซักฟอก รีดเตารีด หรือตากแดดร้อนๆ ต้มในน้ำเดือดได้ก็จะยิ่งดี เป็นการฆ่าเชื้อเริมที่ติดตามเสื้อผ้าให้หมดสิ้น เมื่อนำมาสวมใส่จะได้ไม่ติดเชื้อซ้ำอีก
ที่กล่าวมาทั้งหมด 6 ข้อ เป็นวิธีป้องกันการเป็นโรคเริมซ้ำที่เดิมแบบง่าย สามารถปฏิบัติได้ด้วยตนเอง

การป้องกัน

การป้องกันการติดเชื้อเริมครั้งแรก สามารถทำได้โดยงดการร่วมเพศกับผู้ที่เป็นโรคนี้ ในกรณีที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ การสวมถุงยางอนามัยจะป้องกันได้มาก สำหรับอาการเสริมแรกของผู้เป็นโรคก็คือ จะมีอาการเจ็บ คัน หรือปวดเล็กน้อยบริเวณผิวหนังที่เป็นโรค วันต่อมาจะเริ่มมีเม็ดใสๆ ขนาด 1-2 มม. ขึ้นเป็นกลุ่มขนาดโตรวมประมาณ 0.5 ซม. อีก 3-4 วันต่อมาเม็ดใสจะแตกออก แผลมักจะหายภายใน 7-10 วัน อาการเจ็บปวดมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่เป็น โดยเฉพาะในปาก ลิ้น กระพุ้งแก้ม จะเป็นได้ง่าย เจ็บมาก มักพบในเด็กเล็กทำให้ดูดนมได้ไม่ดี เพราะแสบปาก เด็กจะร้องไห้งอแงมากบางรายถึงขนาดต้องให้น้ำเกลือ ส่วนเริมที่เป็นบริเวณอวัยวะเพศชายและหญิงจะเจ็บมากเช่นกัน เพราะผิวพรรณบริเวณนี้จะอ่อนบาง เริมบริเวณฝีปากหรือมุมปากเจ็บได้บ้างแต่ไม่มากนัก ที่เดือดร้อนเพราะมองเห็นได้ง่าย โดยเฉพาะเมื่อผื่นตกสะเก็ด สีดำคล้ำ

สำหรับการรักษาโรคเริมนั้นทำได้ไม่ยาก เพราะปัจจุบันมียารักษาที่ได้ผลดี ได้แก่ ยาทาและยารับประทาน Acyclovia วางขายมาแล้วหลายปีในรายที่เป็นซ้ำบ่อยและมีอาการเจ็บปวดทรมาน อาจรับประทานยาเป็นการป้องกันก็ได้ผลดีเช่นกัน

อีกไม่นาน จะมียาใหม่สำหรับโรคเริมซึ่งกำลังทดลองในหลอดทดลองและหนูกินี่ (Guinea Pig) จากการทดลองขณะนี้พอสรุปได้ว่ามีฤทธิ์ดีและเร็วกว่ายาชนิดเดิม

การป้องกันโรคเริมเป็นสิ่งสำคัญที่สุด โดยปฏิบัติตัวตามคำอธิบายดังกล่าวข้างต้น แต่เมื่อเป็นแล้วก็ควรปฏิบัติตัวไม่ให้เป็นซ้ำซาก ถ้าทำแล้วเป็นโรคนี้อยู่ก็ต้องพบแพทย์ เพื่อรับการรักษาที่ถูกต้องจะเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุด


(update 15 กุมภาพันธ์ 2003)
[ ที่มา..หนังสือ นิตยสารใกล้หมอ ปีที่ 26 ฉบับที่ 8 สิงหาคม 2545 ]


[ BACK TO LIST]

main พบแพทย์ คอมพิวเตอร์ เรื่องบ้าน เรื่องรถ เรื่องกฏหมาย เรื่องของผู้บริโภค เรื่องเบาๆ คลายเครียด

มีปัญหาสุขภาพ ที่นี่มีคำตอบ ห้องสมุด E-LIB
Best view with [IE3.02][NETSCAPE 4.05][OPERA 3.21] resolution 800x600