เมื่ออากาศเปลี่ยนแปลงจากฤดูร้อนไปสู่ฤดูฝน คุณแม่ควรใส่ใจกับสุขภาพของลูกตัวน้อยนะคะ
เพราะบางครั้ง อาการไข้หวัดธรรมดาๆ ที่เราเห็นก็อาจมีผลลุกลามไปสู่อาการหูชั้นกลางอักเสบได้เหมือนกัน
ดังนั้น เมื่อลูกน้อยเกิดอาการไข้หวัดขึ้นมา ลองสังเกตอาการของลูกดูนะคะ ถ้าหากพาไปพบคุณหมอแล้วภายใน 7 วัน
อาการไข้ยังไม่หายแถมเจ้าหนูยังมีทีท่าหงุดหงิด และชอบเอามือปัดใบหูบ่อยๆ บางที นี่อาจเป็นอาการเริ่มแรกที่บ่งบอกว่า
เชื้อแบคทีเรียจากอาการไข้หวัดได้ลุกลามไปยัง หูชั้นกลาง ของเจ้าตัวน้อยแล้ว
สาเหตุที่อาการไข้หวัดธรรมดา ลุกลามไปเป็นอาการ หูชั้นกลางอักเสบ
ได้อย่างไรนั้นคงต้องมาทำความเข้าใจกันก่อนว่า หูชั้นกลางประกอบด้วยกระดูก 3 ชิ้น
คือ กระดูกรูปฆ้อน รูปทั่ง และรูปโกลน การที่เราได้ยินเสียงเนื่องมาจากคลื่นเสียงผ่านเข้าทางรูหู
กระทบเยื่อแก้วหู เกิดการสั่นสะเทือนของกระดูกทั้ง 3 ภายในหูชั้นกลางต่อเนื่องกันจนถึงหูชั้นใน
โดยอาศัยเซลล์ประสาททำหน้าที่นำสัญญาณส่งไปถึงสมอง แล้วสมองจะแปลความหมายออกมาเป็นเสียงต่างๆ
ทำให้เราได้ยินเสียงนั้นๆ หูชั้นกลางจึงเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งที่ทำหน้าที่ช่วยให้เราติดต่อสื่อสารระหว่างกันได้
นอกจากนี้หูชั้นกลางยังอยู่ระหว่างหูชั้นนอก ติดต่อกับหูชั้นใน และประสาทสมอง โดยมีแก้วหูกั้นไว้
ภายในหูชั้นกลางยังมีท่อ เรียกว่าท่อยูสเตเชียน ซึ่งต่อกับคอหอย เพื่อปรับแรงดันภายนอกในหูชั้นกลาง
สังเกตได้จากเมื่อเวลาเราขึ้นไปอยู่ที่สูง หรือขึ้นภูเขา เครื่องบิน จะมีอาการหูอื้อ ถ้ามีการกลืนน้ำลาย
หรือทำท่าทางเคี้ยวหมากฝรั่งจะทำให้อาการหูอื้อหายไปเพราะการเคี้ยว และการกลืนจะทำให้ท่อที่ติดหูชั้นกลางและลำคอปิด
แรงดันจากภายนอกจะดันแก้วหู ทำให้มีแรงดันในหูชั้นกลางดันผ่านไปยังท่อคอหอยได้ อาการต่างๆ จึงหายไป
จะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าหนูหูชั้นกลางอักเสบ
คุณพ่อคุณแม่ส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าโรคหูชั้นกลางอักเสบนั้นเกิดจากน้ำเข้าหู
ส่งผลให้เกิดเป็นหูน้ำหนวกตามมา จริงๆ แล้วโรคหูชั้นกลางอักเสบเกิดจากเชื้อแบคทีเรียลุกลามจากคอและจมูกไปสู่หู
ส่วนใหญ่พบในทารกและเด็ก ซึ่งคุณพ่อคุณแม่สามารถสังเกตอาการ และเฝ้าระมัดระวังการอักเสบของหูชั้นกลางได้ ดังนี้ค่ะ
1. มักเกิดภายหลังอาการเป็นไข้หวัด ต่อมทอนซิลอักเสบ บางรายอาจเป็นภาวะแทรกซ้อนจากโรคหัด
ไข้หวัดใหญ่ ไอกรน บางรายอักเสบจากโรคภูมิแพ้ ภายหลังอาการเหล่านั้นดีขึ้น ลูกน้อยกลับปวดหู
บางรายมีไข้ อาการชัก
2. ถ้าลูกน้อยยังเล็กจะมีอาการร้องกวน (ด้วยความเจ็บปวด) โดยไม่มีสาเหตุตลอดทั้งคืน
พร้อมกับเอามือปัดใบหูอยู่บ่อยๆ บางรายมีอาการอาเจียนร่วมด้วย
3. มีอาการอักเสบที่หูชั้นกลาง เนื่องจากเชื้อโรคบริเวณลำคอลุกลามผ่านมาทางท่อยูสเตเชียน
ทำให้เยื่อบุผิวภายในหูชั้นกลาง และท่อยูสเตเชียนบวม มีน้ำหนองขัง มีกลิ่นเหม็น
และถ้าปล่อยให้อาการลุกลามต่อไป จะส่งผลให้กระดูกทั้งสามชิ้นในหูชั้นกลางถูกทำลาย
ในที่สุดหนองจะทะลุแก้วหูออกมากลายเป็นโรคหูน้ำหนวกซึ่งในระยะนี้อาการปวดจะทุเลาลง
แต่ถ้าการอักเสบยังมีอยู่ก็จะทำให้มีการปวดหูได้เป็นครั้งคราวต่อไป บางรายเกิดเป็นหูน้ำหนวกเรื้อรัง
ผลตามมาของหูชั้นกลางอักเสบมีมากมาย
1. เมื่อแก้วหูทะลุ จนเกิดหูน้ำหนวก จะกลายเป็นปัญหาเรื้อรังรักษาลำบาก
2. ความสามารถทางการได้ยินเสียไป เช่น หูตึง บางรายอาจเป็นหูน้ำหนวกได้
เพราะมีการทำลายแก้วหู กระดูกหูชั้นกลางและประสาทหู
3. เกิดสมองหรือเยื่อหุ้มสมองอักเสบได้ เพราะหูชั้นกลางอยู่ใกล้ชิดกับสมองอาจทำให้เชื้อโรคกระจายไปสู่สมองได้
4. เกิดการอักเสบของโพรงกระดูกบริเวณหลังหู เพราะเชื้อโรคกระจายออกมาทำให้มีอาการปวด บวมแดง
ร้อนบริเวณกระดูกหู ภาวะนี้ต้องการผ่าตัดรักษา
5. เป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคซึ่งอาจกระจายไปในกระแสเลือด (ถ้าร่างกายอ่อนแอ)
การป้องกันและการปฏิบัติรักษา
1. ให้ลูกน้อยได้รับอาหารที่เหมาะสมกับความต้องการคือ อาหาร 5 หมู่
เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงจะได้มีภูมิต้านทาน
2. เมื่อเด็กๆ เป็นหวัดควรให้ความอบอุ่น เมื่อเด็กมีไข้ควรให้ยาแก้ปวดลดไข้ (พาราเซตามอลชนิดน้ำ)
ร่วมกับยาแก้หวัดคัดจมูกซึ่งจะทำให้ท่อยูสเตเชียนระหว่างหู และคอระบายความดันอากาศได้ดีขึ้น
ถ้าเด็กเคยชักควรให้ยากันชัก ไม่ควรให้เด็กอยู่ในที่แออัดเพราะจะเกิดการติดเชื้อโรคเพิ่มขึ้น
3. ถ้าอาการดีขึ้นใน 2-3 วัน ควรให้ยาปฏิชีวนะจนครบ 10 วัน แต่ถ้าไม่ดีขึ้นควรรีบไปพบแพทย์
เพื่อใช้เข็มเจาะระบายเอาหนองออกจากเยื่อแก้วหูภายใน 1-2 สัปดาห์ เยื่อแก้วหูจะปิดได้เอง
ผลการรักษาส่วนใหญ่จะหายได้เอง ในรายที่ได้รับยาไม่เพียงพอหรือไม่ถูกต้อง
อาจมีภาวะแทรกซ้อนต่อมาภายหลัง
4. เมื่อแก้วหูทะลุอาจจำเป็นต้องได้รับยาปฏิชีวนะทั้งยากิน และยาหยอดเป็นเวลานานหลายสัปดาห์
ระยะนี้ควรระวังอย่าให้น้ำเข้าหูเวลาอาบน้ำ ในรายที่เป็นมานานจนแก้วหูทะลุ
ถ้าเป็นไม่มากเมื่อรักษาอาการอักเสบของหูชั้นกลางแล้ว แก้วหูอาจปิดสนิทได้เอง
แต่ถ้ารูทะลุใหญ่อาจจำเป็นต้องผ่าตัดเพื่อปิดรู
5. หมั่นใช้ไม้พันสำลีเช็ดหูให้แห้ง แล้วใช้ยาปฏิชีวนะหยอดหู วันละ 2-3 ครั้งจนกว่าหนองจะแห้ง
ซึ่งหลังการหยอดทุกครั้ง ควรเช็ดหนองให้แห้งด้วย
6. ถ้าอาการไม่ดีขึ้นภายใน 2-3 สัปดาห์ หรือมีอาการหูหนวก หูตึงมากขึ้น จะส่งผลให้เป็นอัมพาตปากเบี้ยวได้
(เนื่องจากบริเวณกระดูกนำเสียงมีเส้นประสาทที่เชื่อมโยงกับระบบประสาทบนใบหน้า ดังนั้นเมื่อกระดูกนำเสียงถูกทำลาย
ระบบประสาทบนใบหน้าก็จะถูกทำลายตามไปด้วย) ซึ่งถ้าหากเกิดอาการลักษณะนี้ขึ้น ควรรีบนำส่งโรงพยาบาลด่วน
7. ในรายที่มีอาการปวดศีรษะรุนแรง อาเจียนรุนแรง หรือคอแข็ง สงสัยอาจเป็นเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
หรือฝีในสมองแทรกซ้อน ควรรีบส่งโรงพยาบาลด่วน
จะเห็นได้ว่าการอักเสบของหูชั้นกลางเป็นเรื่องที่สำคัญ และพบได้บ่อยที่สุดในปัญหาของโรคหู
ซึ่งเป็นผลจากอาการแทรกซ้อนของโรคหวัด และสาเหตุที่สำคัญที่ทำให้การได้ยินของลูกน้อยผิดปกติ
อาจจะไม่ทำให้หูหนวกแต่ทำให้หูตึงได้ ถ้าหากเป็นไม่มากนักสามารถรักษาให้หายได้
แต่ถ้าปล่อยไว้นานจนเกิดอาการภาวะแทรกซ้อนต่างๆ หรือเกิดแก้วหูทะลุ อาจทำให้เกิดอาการเรื้อรัง
ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ควรระมัดระวังนอกจากส่งผลต่อสุขภาพกายแล้ว ยังส่งผลต่อการเรียนรู้ของเจ้าตัวเล็กอีกด้วย
(update 17 กันยายน 2004)
[ ที่มา...
นิตยสารบันทึกคุณแม่ ปีที่ 10 มิถุนายน 2547 ]
|