เรื่องราวที่จะเขียนให้อ่านในครั้งนี้ ขอบอกก่อนเลยว่า... ไม่ใช่เป็นการชี้โพรงให้กระรอก
และก็ไม่ใช่เป็นการล้อมคอกหลังวัวหายเช่นกัน
ไม่รู้ว่าจะเป็นข่าวร้ายของผู้ชายวัยดึกไหม... และจะเป็นข่าวดีของสุภาพสตรีวัยทอง
ที่เมื่อจะร่วมรักกับผู้ชายคนนั้นของเธอหรือไม่
เพราะเป็นข้อมูลเกี่ยวกับเซ็กซ์ของผู้ชายในวัย 50-58 ปี
ที่ได้รับการเปิดเผยล่าสุดในการประชุมเกี่ยวกับการหย่อนสมรรถภาพทางเพศของผู้ชาย
ซึ่งมีขึ้นระหว่างวันที่ 16 -18 เมษายน พ.ศ.2547 ที่ผ่านมา
และมีข้อมูลบางส่วนที่น่าสนใจ ซึ่งผู้ชายไทยทุกคนในวัยดังกล่าวควรจะรู้และหวานใจของพวกเขาทั้งหลาย
น่าจะรู้ด้วยเช่นกัน ส่วนว่ารู้แล้วจะนำไปใช้ประโยชน์ในการดำเนินชีวิตแบบไหน อย่างไร
ก็เป็นสิทธิส่วนบุคคลที่ไม่สามารถจะมีผู้ใดไปล่วงละเมิดได้
...แค่เปิดเผยข้อมูลให้ทราบเท่านั้น!!
ก็ในยุคนี้ เป็นยุคที่ควรจะมีข้อมูลข่าวสารเป็นจริง โปร่งใส ตรวจสอบได้ แ
ละไม่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ทางการค้าหรือผลประโยชน์ของใครเป็นส่วนตัวแล้วใช่ไหม
มารับรู้ข้อมูลของกิจกรรมทางเพศของผู้ชาย วัย 50-80 ปี กันดีกว่า ว่าเป็นอย่างไร...
ข้อมูลที่ได้รับการเปิดเผยก็คือ เปอร์เซ็นต์ของการมีกิจกรรมทางเพศของผู้ชายในวัย 50-80 ปีนั้น
ผู้ชายชาวอเมริกันยังคงกระฉับกระเฉงอยู่ถึง 83 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่ผู้ชายในประเทศทางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
มีกิจกรรมทางเพศคิดเป็นเปอร์เซ็นต์เรียงจากสูงลงไปหาต่ำ ดังนี้ ฟิลิปปินส์ 90 เปอร์เซ็นต์
ฮ่องกง 82 เปอร์เซ็นต์ มาเลเซีย 70 เปอร์เซ็นต์ สิงคโปร์ 61 เปอร์เซ็นต์
และค่าเฉลี่ยของชายชาวเอเชียที่มีอายุระหว่าง 50-80 ปี
ที่ยังคงมีกิจกรรมทางเพศอย่างสม่ำเสมอก็คือ 72 เปอร์เซ็นต์
อ่านมาถึงตอนนี้คงอยากรู้แล้วใช่ไหมว่า ผู้ชายไทยในวัยดังกล่าวยังคงมีกิจกรรมทางเพศอย่างกระฉับกระเฉง
อยู่กี่เปอร์เซ็นต์
...คำตอบสุดท้ายสำหรับชายไทยก็คือ 58 เปอร์เซ็นต์!!!
ครองอันดับบ๊วยสุดในภูมิภาคนี้ ใครไม่เชื่อจะเถียงในใจหรือจะเถียงออกมาอย่างไร
ข้อมูลก็ยังคงเป็นข้อมูลที่แสดงออกมาในระดับนานาชาติ
และเป็นข้อมูลแสดงความตกต่ำทางสถิติที่ไม่เคยมีปรากฏการณ์แบบนี้มาก่อน
เพราะไม่ว่าจะมีการสำรวจครั้งใด ไทยเราก็มักจะอยู่กลางๆ เสมอๆ เรียกว่าเป็นพวกเดินสายกลาง
สงสัยว่า ปีนี้คงจะเป็นปี...ขาลง ของผู้ชายไทย ด้วยเช่นกัน!!
ทุกคนที่อยู่ในที่ประชุมลงความเห็นอย่างไม่เป็นทางการว่า การที่หนุ่มใหญ่ชาวฟิลิปปินส์
แซงนำหน้าเพื่อนบ้านในการมีกิจกรรมทางเพศอย่างกระฉับกระเฉง
น่าจะเป็นเพราะมีผู้นำเป็นสุภาพสตรีสาวสวยนามกลอเรีย อาโรโย่
เลยทำให้หนุ่มใหญ่ทั้งหลายกระฉับกระเฉง กระปรี้กระเปร่าไปตามๆ กัน
ขออนุญาตไม่อภิปราย หรือให้ข้อคิดเกี่ยวกับข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับไทยๆ ของเราก็แล้วกัน... มันอันตราย!!!
และเมื่อข้อมูลศึกษาลึกลงไปในรายละเอียดเกี่ยวกับความถี่ในการประกอบกิจกรรมทางเพศ
อันสุนทรีย์ของผู้ชายในวัยดังกล่าว ก็พบว่า ผู้ชายชาวอเมริกันนั้น ร่วมรักกันสัปดาห์ละ 5.8 ครั้ง โดยเฉลี่ย
ในขณะที่ชายชาวเอเชีย โดยเฉลี่ยมีกิจกรรมอันสุนทรีย์ เพียง 3.7 ครั้งต่อสัปดาห์
ส่วนข้อมูลรายละเอียดของประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แล้ว พบว่า
ค่าเฉลี่ยของการร่วมรักของชายในประเทศต่างๆ มีดังนี้ ผู้ชายชาวฟิลิปปินส์
ยังคงมีสถิติร่วมรักถี่ที่สุด 4.8 ครั้งต่อสัปดาห์ ฮ่องกง 3.8 ครั้งต่อสัปดาห์
เป็นสองประเทศที่มีค่าเฉลี่ยสูงกว่าค่าเฉลี่ยของผู้ชายชาวเอเชียทั่วๆ ไป
ผู้ชายอายุ 50-80 ปี จากประเทศอื่นๆในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
มีกิจกรรมร่วมรักต่อสัปดาห์ลดหลั่นลงไปดังนี้ ไทย 3.4 ครั้งต่อสัปดาห์
มาเลเซีย 3.1 ครั้งต่อสัปดาห์ และสิงคโปร์อันดับสุดท้าย 2.8 ครั้งต่อสัปดาห์
ผู้ชายไทย จึงยังพอที่จะภูมิใจได้เล็กๆ น้อยๆ ว่า ยังคงร่วมรักกันบ่อยมากกว่า
มาเลเซีย และสิงคโปร์
เมื่อตั้งปุจฉาวิสัชนาแล้ว การเกิดภาวะการลดลงของการมีกิจกรรมทางเพศของผู้ชายในวัย 50-80 ปี
ดังกล่าว น่าจะเป็นจาก...การดำเนินชีวิตที่เปลี่ยนไป
ผู้ชายในวัยดังกล่าว โดยปกติก็เครียดได้ง่ายอยู่แล้ว ยิ่งเกิดการเปลี่ยนแปลงทางสภาพเศรษฐกิจ
สังคม การเมือง ย่อมจะทำให้ปรับตัวได้ยากกับการเปลี่ยนแปลง
และหลายต่อหลายคนไม่ยอมรับกับการเปลี่ยนแปลง จนทำให้เกิดความเครียด
...และก็รู้ๆ ว่า ผู้ชายในวัยนี้เครียดง่าย ไม่ว่าจะเป็นการเครียดจากการทำงานหนักเกินกำลัง
หรือความเครียดทางจิตใจจากสถานการณ์ต่างๆ ที่รุมเร้ารอบตัว
ผลของความเครียดทำให้ร่างกายหลั่งสารแห่งความทุกข์ออกมา
และเจ้าสารแห่งความทุกข์ที่เรียกว่า 'แอดรีนาริน' นี่แหละ ที่ไปทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจขาดเลือดไปเลี้ยง
นอกจากนี้เมื่อเกิดความเครียดก็จะนอนไม่หลับ คิดมาก
กรดในกระเพาะอาหารก็ออกมามากจนกัดกร่อนกระเพาะอาหารเป็นแผล
การนอนไม่หลับยังมีผลทำให้การหลั่งฮอร์โมนต่างๆที่ควบคุมการทำงานของร่างกายมีปริมาณน้อยลง
หรือเกิดความไม่สมบูรณ์ของการหลั่งฮอร์โมนขึ้น โดยเฉพาะการหลั่งฮอร์โมนแห่งการเจริญเติบโตจะลดลง
ทำให้แก่เร็วขึ้น อวัยวะต่างๆ เสื่อมเร็วขึ้น แถมฮอร์โมนเพศชายก็ลดลงด้วย
ผลจากการลดฮอร์โมนเพศชายก็ทำให้หงุดหงิดง่าย สมาธิสั้น ทำอะไรไม่กระฉับกระเฉงเหมือนเดิม
อ่อนเพลียง่ายโดยไม่มีเหตุผล โมโหฉุนเฉียว ไม่มีอารมณ์เพศ
มองอะไรก็ไม่เร้าอารมณ์โดยเฉพาะกับคนใกล้ตัว
...ผลที่ตามมาก็คือ ทำให้ไม่อยากที่จะมีกิจกรรมอันเป็นสุนทรีย์ที่มนุษย์ส่วนใหญ่
พึงกระทำในกรณีที่มีคู่เป็นตัวเป็นตน
จริงอยู่...อดข้าวดอกนะเจ้าชีวาวาย ไม่ตายเพราะอดเสน่หา
การอดทนอดกลั้นที่จะไม่มีกิจกรรมทางเพศนั้น ดูแล้วเสมือนกับว่าน่าจะเป็นเรื่องที่ดีงาม
เป็นความสูงส่งของคุณธรรมและจริยธรรม เป็นความเชื่อมาตั้งแต่โบราณว่า
การอดกลั้นในกามเป็นสุดยอดของความอดกลั้น... แต่นั่นเป็นสิ่งที่ได้รับการสั่งสอนมาจากคนกลุ่มหนึ่ง
...ในขณะที่ข้อเท็จจริงตามธรรมชาตินั้น การอดทนอดกลั้นในกามของผู้หญิง
ไม่น่าจะมีผลต่อร่างกายมากมายเท่าใด แต่ของผู้ชายนั้น ตรงกันข้าม
ผู้ชายถูกธรรมชาติสร้างมาเพื่อการเจริญเผ่าพันธุ์ เพื่อการดำรงคงอยู่ของมวลมนุษย์ชาติ
กระบวนการผลิตตัวอสุจิ จึงดำเนินอยู่ตลอดเวลา และมีความจำเป็นที่จะต้องถ่ายเทตัวอสุจิ
ที่ได้รับการผลิตออกไปเป็นระยะๆ จะได้ไม่เกิดการคั่งค้างอยู่ภายในต่อมเก็บน้ำอสุจิ
ธรรมชาติจัดการเรื่องนี้โดยทำให้เกิดการ...ฝันเปียก
ซึ่งเป็นกระบวนการตามธรรมชาติในการที่จะกำจัดเอาน้ำอสุจิที่มีตัวอสุจิส่วนเกินกำลังเก็บออกไป
แต่บางครั้งก็ไม่พอ
และนักวิทยาศาสตร์ชาวออสเตรเลียได้ออกมายืนยันผลการศึกษาวิจัยว่า
ผู้ชายที่ได้ทำการหลั่งน้ำอสุจิออกไปเป็นประจำสม่ำเสมอ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้งนั้น
มีโอกาสที่จะเกิดมะเร็งของต่อมลูกหมากน้อยกว่าผู้ชายที่ไม่ได้หลั่งน้ำอสุจิ
ไม่ว่าจะหลั่งด้วยการสุขสมด้วยตนเอง หรือมีเซ็กซ์ในรูปแบบต่างๆ อะไรก็ได้
ขอให้มีการหลั่งน้ำอสุจิที่คั่งค้างออกไปเท่านั้นก็พอ
สำหรับผู้ชายไทยที่ยังคงมีกิจกรรมทางเพศอย่างสม่ำเสมอนั้น ไม่น่ากลัว
เพราะจากสถิติ 3.4 ครั้งต่อสัปดาห์ ก็เป็นอัตราที่ได้มาตรฐานแล้ว
แต่สำหรับชายไทยอายุ 50-80 ปี อีก 42 เปอร์เซ็นต์นั้นเล่า
จะช่วยพวกเขาอย่างไรดี
ถ้าอยู่เป็นโสด... คงจะต้องสุขสมด้วยตนเองบ้าง???
แต่ถ้ามีคู่ครองแล้ว ก็ขอให้คู่ของตนเองมี 'เซ็กซ์เอื้ออาทร' บ้างก็น่าจะดีนะ
เพราะเป็นการเอื้ออาทรที่จะทำให้ผู้ชายมีอายุยืนยาว จะได้ครองคู่กันต่อไปนานเท่านาน
เรื่องนี้ถึงแม้ว่าใครจะไม่เชื่อ... แต่ก็ไม่ควรลบหรู่จริงไหม?
(update 29 พฤษภาคม 2004)
[ ที่มา...
เนชั่นสุดสัปดาห์ ปีที่ 13 ฉบับที่ 625 วันที่ 24 - 30 พ.ค. 2547 ]
|