แพ้ยา ของแถมจากการใช้ยา


ถึงคราวที่ลูกเจ็บป่วย หนทางที่จะเยียวยาให้หายเป็นปกติได้ นอกจากการดูแลใส่ใจสุขภาพเป็นพิเศษแล้ว ก็เห็นจะเป็นคุณหมอและการพึ่งยา แต่ใช้ว่าเมื่อลูกได้รับยาแล้วคุณพ่อคุณแม่จะเบาใจได้เสียทีเดียว ยังต้องคอยสังเกตอาการผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นหลังจากที่ลูกได้รับยาด้วย เพราะลูกอาจได้รับของแถมไม่ถึงประสงค์จากการรับประทานยาชนิดนั้นๆ ก็เป็นได้


”แพ้ยา” หรือ “ผลไม่พึงประสงค์จากยา”

ยาเกือบทุกชนิดที่ใช้ในการรักษานั้นมีผลอันไม่พึงประสงค์ทั้งสิ้น ซึ่งอาการที่เกิดจากผลอันไม่พึงประสงค์ของยามีมากมาย เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง เวียนศีรษะ ปวดศีรษะ เป็นต้น แต่ในทางการแพทย์นั้นอาการเหล่านี้มักจะเป็นสิ่งที่คาดเดาได้ล่วงหน้า และสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนที่รับประทานยาชนิดนั้นๆ ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่

ส่วนการแพ้ยาตามความหมายทางการแพทย์ โดยแท้จริงแล้วนั้นเป็นปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยบางรายเท่านั้น และแพทย์จะไม่สามารถทำนายได้ก่อนให้ยาว่าจะเกิดการแพ้กับผู้ป่วยรายใด ซึ่งอุบัติการณ์หรือการเกิดการแพ้ยานั้น อาจพบมากหรือน้อยแตกต่างกันไปตามชนิดของยา


ผลจากยาอาการวิธีดูแลรักษา
แพ้ยา ผื่นแดง ผื่นคัน ลมพิษ ริมฝีปากบวม หน้าบวม หนังตาบวม การหายใจไม่สะดวก หายใจมีเสียงวี๊ด หน้ามืด ปวดท้อง ความดันโลหิตที่ต่ำลง (shock) อาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต หยุดยาทุกชนิดที่กินอยู่ทันที พาผู้ป่วยไปพบแพทย์ พร้อมทั้งนำยาที่กินอยู่ไปด้วย การรักษาสำหรับการแพ้ยา แพทย์จะดูตามอาการและความรุนแรง เช่น หากเป็นผื่นเล็กน้อย อาจให้เฉพาะยาแก้แพ้ จำพวกแอนตีฮีสตามีน (Antihistamine) แต่หากมีอาการหายใจลำบาก มีความดันโลหิตต่ำ อาจจะต้องให้ยาฉีดและรับไว้รักษาในโรงพยาบาล
ผลไม่พึงประสงค์ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง เวียนศีรษะ ปวดศีรษะ โดยทั่วไปจะใช้วิธีรักษาตามอาการและปรับเปลี่ยนวิธีการรับประทานยา เช่น เปลี่ยนจากรับประทานก่อนอาหารเป็นหลังอาหาร รับประทานยาในขนาดที่ต่ำลง เป็นต้น อย่างไรก็ตามหากยังมีอาการอยู่ อาจจะต้องหยุดยาหรือเปลี่ยนไปใช้ยาอื่น


ยาที่ทำให้เกิดอาการแพ้

ยาทุกชนิดที่ใช้รักษาโรคไม่ว่าจะอยู่ในรูปยากิน ยาฉีด หรือยาทาสามารถทำให้เกิดการแพ้ยาได้ทั้งสิ้นครับ แต่อย่างไรก็ตาม ยาที่พบว่าก่อให้เกิดการแพ้ได้บ่อยๆ ได้แก่ ยาปฏิชีวนะ จำพวกเพนนิซิลลิน เซฟาโลสปอริน ซัลฟา และยากันชัก บางรายอาจจะแพ้วัคซีนที่ใช้ฉีดเพื่อให้เกิดภูมิต้านทานโรค แต่ไม่ต้องกังวลไปครับ เพราะวัคซีนที่ทำให้เกิดการแพ้พบได้น้อยมาก ที่มีรายงานได้แก่ วัคซีนป้องกันโรคบาดทะยัก โรคหัด โรคคางทูม และหัดเยอรมัน

วัคซีนดังกล่าวเป็นวัคซีนที่จำเป็นในการสร้างภูมิคุ้นกันโรคในเด็ก และพบว่าทำให้เกิดการแพ้ได้น้อยมากๆ จึงไม่ควรวิตกกังวลมากจนเกินไป โดยทั่วไปแนะนำว่าหลังฉีดวัคซีนควรอยู่รอดูอาการในคลินิกหรือในโรงพยาบาล เป็นเวลา 30 นาที เนื่องจากหากมีการแพ้ก็มักจะเกิดในช่วงเวลานี้และสามารถรักษาได้ทันท่วงที

นอกจากการแพ้วัคซีนที่ฉีดเพื่อสร้างภูมิต้านทานได้แล้ว บางรายอาจจะแพ้ผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์บางอย่าง เช่น ถุงมือยาง ผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากยาง เป็นต้น


อาการ "แพ้ยา"

อาการแพ้ยาเกิดจากยาเข้าไปทำปฏิกิริยากับระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย เป็นผลให้เกิดอาการต่างๆ เช่น ผื่นแดง ผื่นคัน ลมพิษ ริมฝีปากบวม หน้าบวม หนังตาบวม การหายใจไม่สะดวก หายใจ มีเสียงวี๊ด หน้ามืด ปวดท้อง รวมไปถึงการมีความดันโลหิตต่ำลง (shock) ปฏิกิริยาการแพ้ยาที่รุนแรงมากเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า อะนาไฟแลกซิส (anaphylaxis) ซึ่งอาจรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้

ในผู้ป่วยบางรายผื่นที่เกิดขึ้นจะกลายเป็นตุ่มน้ำพุพอง ร่วมกับมีแผลที่ริมฝีปากหรือแสบตา ซึ่งถือเป็นอาการทางผิวหนังที่รุนแรง ที่เกิดจากการแพ้ยา เมื่อรับประทานยาแล้วเกิดมีภาวะนี้ขึ้น ควรได้รับการดูแลโดยแพทย์อย่างเร็วที่สุด และสมควรที่จะรับไว้รักษาในโรงพยาบาล

อาการแพ้ยานั้นเป็นยาฉีด อาจเกิดขึ้นหลังได้ยาเข้าสู่ร่างกายไม่กี่นาที หากเป็นยารับประทานอาการแพ้ยาอาจเกิดขึ้นได้ในระยะเวลาเป็นชั่วโมงถึงเป็นวัน แต่หากผู้ป่วยเพิ่งจะเคยรับประทานยานั้นๆ เป็นครั้งแรก อาการแพ้ยาอาจเกิดขึ้น หลังรับประทานยานั้นติดต่อกันนาน 2 สัปดาห์ หรือในบางครั้งนานถึง 4-6 สัปดาห์ก็ได้

ดังนั้นต้องแจ้งให้คุณหมอทราบล่วงหน้าว่าลูกมีประวัติแพ้ยาชนิดใดหรือไม่ และเมื่อคุณหมอจ่ายยา คุณพ่อคุณแม่ควรสอบถามเกี่ยวกับชนิดของยา ขนาดและวิธีการให้ยาที่ถูกต้องหากเป็นยาชนิดใหม่ที่ลูกไม่เคยรับมาก่อน ควรเพิ่มการสังเกตอาการของลูกหลังการให้ยาชนิดนั้นๆ ให้มากเป็นพิเศษ

ในเด็กเล็กๆ นั้น อุบัติการณ์ของการแพ้ยาพบได้น้อยกว่าผู้ใหญ่ แต่หากเกิดอาการแพ้ขึ้นก็จะมีอาการอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายๆ อย่างเกิดขึ้นดังที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น ซึ่งเหมือนกันทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ ส่วนความรุนแรงของการแพ้นั้นขึ้นกับปัจจัยหลายประการ เช่น ยารับประทานจะก่อให้เกิดการแพ้ที่รุนแรง น้อยกว่ายาชนิดเดียวกันที่อยู่ในรูปยาฉีด นอกจากนี้ความรุนแรงของการแพ้ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่น ได้แก่ ภูมิต้านทานของผู้ป่วย ชนิดของยาและปริมาณยาที่ใช้


ปัจจัยเสี่ยงของการแพ้ยา

ปัจจัยที่ทำให้เกิดการแพ้ยานั้น อาจเกิดจากการที่ได้รับการรักษาด้วยยาชนิดนั้นๆ บ่อยๆ การที่ใช้ยาปฏิชีวนะในรูปของทายาผิวหนังบ่อย ก็อาจจะทำให้เกิดการแพ้ยาชนิดนั้นในรูปของยารับประทานได้ ภาวะทางพันธุกรรมบางอย่างก็อาจจะทำให้เกิดการแพ้ยาได้ง่ายกว่าปกติ นอกจากนั้นการใช้ยาฉีดก็มีโอกาสเกิดการแพ้ยาได้รุนแรงกว่าการใช้ยารับประทาน


"ผลไม่พึงประสงค์จากยา" ไม่ใช่ "แพ้ยา"

ผลอันไม่พึงประสงค์จากยานั้นพบได้บ่อยกว่าการแพ้ยาครับ ยาทุกชนิดจะมีขนาดที่พอเหมาะที่จะใช้รักษาโรค ขนาดของยาที่สูงเกินไปก็จะก่อให้เกิดปัญหา ในทางตรงกันข้ามขนาดของยาที่น้อยเกินไปก็จะทำให้การรักษาไม่ได้ผล ขนาดของยาที่ใช้นั้นจะขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ได้แก่ เพศ อายุ น้ำหนัก เป็นต้น

ผลอันไม่พึงประสงค์จากยาอาจมีตั้งแต่ความรุนแรงน้อยไปจนกระทั่งถึงรุนแรงมาก ยกตัวอย่าง เช่น การรับประทานแอสไพริน ในขณะที่กระเพาะอาหารว่างอาจทำให้เกิดอาการระคายกระเพาะอาหาร ปวดแสบท้องบริเวณลิ้นปี่ หรืออาจรุนแรงมากจนกระทั่งเกิดเลือดออกจากแผลในกระเพาะอาหารได้ การใช้แอสไพรินในขนาดสูงเกินไป อาจทำให้ผู้ป่วยรู้สึกมีเสียงดังวี๊ดๆ ในหูได้ ซึ่งหากหยุดอาการนี้จะหายไปได้เอง

เราอาจจะลดการเกิดผลอันไม่พึงประสงค์จากยานั้นได้ โดยการใช้ยาในขนาดที่เหมาะสม หรือปรับเปลี่ยนวิธีรับประทานยา ดังนั้นจะเห็นว่า ในอนาคตผู้ป่วยก็สามารถกินยานั้นๆ ได้อีกถ้าจำเป็น ซึ่งจะต่างกันกับการแพ้ยาที่จะเกิดอาการแพ้ทุกครั้งที่ใช้ยานั้น และอาการแพ้สามารถเกิดขึ้นได้ แม้จะได้รับยาเพียงเล็กน้อย ผลอันไม่พึงประสงค์จากยาที่ไม่ใช่การแพ้ยา ได้แก่ตัวอย่างดังต่อไปนี้
  • ยารักษาโรคมะเร็งบางชนิด ทำให้มีอาการอาเจียน ผมร่วง
  • ยารักษาโรคภูมิแพ้ (antihistamine) บางชนิดอาจทำให้มีอาการง่วงนอน
  • ยาที่มีสารสเตียรอยด์เป็นส่วนประกอบ ทำให้มีอาการบวม น้ำหนักเพิ่ม มีความอยากอาหารเพิ่มขึ้น น้ำตาลในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง กระดูกผุกร่อน ต้อกระจก
  • ยารักษาวัณโรค ทำให้มีอาการตับอักเสบ ดีซ่าน คลื่นไส้ อาเจียน
  • ยาปฏิชีวนะ อีริโทรมัยซิน (erythromycin) ทำให้มีอาการปวดท้อง และถ่ายอุจจาระเหลว
  • ยาแอสไพรินและยากลุ่ม NSAIDs (เช่น Ibuprofen) อาจจะทำให้เกิดอาการระคายเคืองทางกระเพาะอาหาร ผื่นลมพิษ จมูกอักเสบ หายใจลำบาก คล้ายผู้ป่วยที่เป็นโรคหอบหืด

ดูแลอย่างไร ? ...เมื่อสงสัยว่า
เกิดอาการอันไม่พึงประสงค์จากยาและการแพ้ยา

หากสังเกตว่า ลูกมีอาการผิดปกติหลังจากรับประทานยาควรหยุดยาทันที แล้วกลับไปปรึกษาแพทย์ที่ดูแลโดยแพทย์จะประเมินว่าอาการที่เกิดขึ้นนั้น คือ การแพ้ยา หรือเป็นผลอันไม่พึงประสงค์จากยาซึ่งไม่ใช่การแพ้

การประเมินว่าแพ้ยาหรือไม่นี้มีความสำคัญ เพราะถ้าเกิดจากการแพ้ยาจริงๆ คุณพ่อคุณแม่จะต้องจำไว้ว่าลูกจะไม่สามารถรับประทานยาชนิดนั้นต่อไปได้อีกเลย ฉะนั้นถ้าการประเมินนี้ผิดไป คือ บอกว่ามีการแพ้ยาอยู่เรื่อยๆ ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วเป็นเพียงผลอันไม่พึงประสงค์ที่เกิดจากการรับประทานยาชนิดนั้นๆ เท่านั้น ก็จะทำให้เข้าใจไปว่าลูกแพ้ยามากมายหลายชนิด จนในที่สุดต่อไปจะทำให้เกิดความยากลำบาก ในการเลือกใช้ยาในอนาคตได้

นอกจากนี้ควรนำยาที่ลูกรับประทานทั้งหมด รวมทั้งบอกระยะเวลาในการใช้ให้แพทย์ทราบ เพื่อที่จะประเมินได้ว่าลูกน่าจะแพ้ยาตัวใดมากที่สุด

การวินิจฉัยที่แน่นอนสำหับการแพ้ยานั้น โดยทั่วไปจะอาศัยประวัติการรับประทานยาและการตรวจร่างกายผู้ป่วย การตรวจโดยการทดสอบภูมิแพ้ต่อยาที่ผิวหนังนั้นสามารถทำได้ถ้าเป็นยาในกลุ่มเพนนิซิลลิน ส่วนยาอื่นจะไม่สามารถตรวจด้วยวิธีนี้ได้

โดยทั่วไปแล้วเมื่อทราบว่าแพ้ยาชนิดใด ควรจะมีการบันทึกไว้ในประวัติ รวมทั้งเขียนบันทึกชื่อยานั้นไว้ เพื่อจะได้แจ้งให้แพทย์ทุกท่านที่ไปพบได้ทราบว่าลูกแพ้ยาชนิดใดบ้าง


(update 10 พฤษภาคม 2005)
[ ที่มา.. นิตยสารรักลูก ปีที่ 22 ฉบับที่ 259 สิงหาคม 2547 ]


[ BACK TO LIST]

main พบแพทย์ คอมพิวเตอร์ เรื่องบ้าน เรื่องรถ เรื่องกฏหมาย เรื่องของผู้บริโภค เรื่องเบาๆ คลายเครียด

มีปัญหาสุขภาพ ที่นี่มีคำตอบ ห้องสมุด E-LIB
Best view with [IE3.02][NETSCAPE 4.05][OPERA 3.21] resolution 800x600