แม่มือโปร เลือกผักแบบไหนให้อร่อยและปลอดภัย


เป็นที่รู้กันดีว่า “ผัก” มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมายแค่ไหนนอกจากช่วยในเรื่องของการขับถ่ายแล้ว วิตามิน แร่ธาตุ และสารอาหารอื่นๆ อีกมากมาย ในผักล้วนช่วยเสริมสร้างร่างกายให้มีสุขภาพดีทั้งสิ้น ยิ่งระยะหลังนี้ คนเราหันมาเอาใจใส่ดูแลสุขภาพกันมากขึ้น ความต้องการในการบริโภคผักให้ได้ประโยชน์มากที่สุดนั้นจะต้องระมัดระวังเรื่องของสารพิษตกค้างในผักด้วย โดยเฉพาะเด็กเล็กๆ และคุณแม่ตั้งครรภ์ที่ควรรับประทานอาหารที่สะอาดและปลอดภัย รวมถึงคนชราที่ระบบขับสารพิษตามะรรมชาติของร่างกายเริ่มเสื่อมสภาพแล้ว การเลือกรับประทานอาหารปลอดสารพิษ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง เมื่อเช่นนี้หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับภาครัฐและเอกชนจึงมีนโยบายในการควบคุมและหนดมาตรฐานการผลิตผักให้มีความปลอดภัยต่อผู้บริโภคมากที่สุด


แบบไหนคือผักปลอดภัย

คุณอรสา ดิสถาพร ผู้อำนวยการสวนส่งเสริมการผลิตผัก ไม้ดอก ไม้ประดับ และสมุนไพร กรมส่งเสริมการเกษตร ได้ให้ความรู้เกี่ยวกับชนิดของผักปลอดสารพิษว่าปัจจุบันมีการแบ่งปันกลุ่มกว้างๆ คือ
ผักปลอดภัยจากสารพิษ ได้แก่ ผักที่ปลูกโดยทั่วไป มีการใช้ปุ๋ยเคมี ยาป้องกันและกำจัดศัตรูพืชแต่จะต้องรอให้สารเคมีเหล่านั้นสลายไปก่อนจึงจะทำการเก็บเกี่ยวได้ ซึ่งอาจจะยังมีสารเคมีตกค้างอยู่บ้าง แต่ต้องไม่เกินค่า MRL (Maximum Residue Limit) ตามที่องค์การอนามัยโลกกำหนด จึงจะสามารถบริโภคได้อย่างปลอดภัย

ผักปลอดสารพิษ ได้แก่ ผักที่ปลูกโดยทั่วไป มีการใช้ปุ๋ยเคมีตามปกติ แต่จะไม่มีการใช้สารเคมีกำจัดโรคและแมลง แต่จะใช้ชีววิธีแทน เช่น การใช้แมลงกำจัดแมลง เป็นต้น ฉะนั้นผักในกลุ่มนี้จะเป็นผักที่ปลอดจากสารเคมีที่ใช้กำจัดศัตรูพืช

ผักอินทรีย์ หรือผักออร์แกนิกส์ (Organic) เป็นผักที่ปลูกด้วยวิธีธรรมชาติ ไม่ใช้เมล็ดพันธุ์ที่ผ่านการตัดต่อพันธุกรรม (จีเอ็มโอ) ไม่ใช้สารเคมีใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นปุ๋ยเคมี ยาปราบวัชพืช ยาฆ่าแมลง และฮอร์โมน เน้นการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยหมัก กำจัดศัตรูพืชโดยการใช้สารที่ผลิตจากธรรมชาติ รวมทั้งใช้แมลงตัวห้ำ ตัวเบียน คือ การใช้แมลงกำจักแมลง จึงมีความปลอดภัยต่อสุขภาพและไม่ทำลายสภาพแวดล้อม และกว่าเกษตรกรผู้ปลูกจะได้รับการรับรองว่าผักที่ปลูกเป็นผักเกษตรอินทรีย์ จะต้องมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาทำการตรวจสอบกระบวนการผลิตทุกขั้นตอนว่าเป็นไปตามที่กำหนดหรือไม่ สำหรับในประเทศไทยผักอินทรีย์ที่ออกจำหน่ายมีการรับรองมาตรฐานทั้งจาก กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และองค์กรเอกชน ซึ่งได้รับการรับรองจากสหพันธ์เกษตรอินทรีย์นานาชาติ (IFOAM) แล้ว เช่น สำนักงานมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ (มกท.) เป็นต้น

ผักไฮโดรโปรนิกส์หรือผักไร้ดิน (Hydroponics) คือ ผักที่มีวิธีการปลูกเลียนแบบการปลูกผักบนดินโดยใช้วัสดุต่างๆ ในการปลูก เช่น น้ำ ทราย กรวด ดินเผา หรือ วัสดุอื่น ที่ไม่ใช่ดิน โดยผักจะสามารถเจริญเติบโตบนวัสดุปลูกเหล่านี้ได้จากการได้รับสารละลายธาตุอาหารสำหรับพืชที่มีน้ำผสมกับปุ๋ยหรือธาตุอาหาตต่างๆ ที่ผักต้องการผ่านทางราก ซึ่งระบบการปลูกพืชไร้ดินที่นิยมปลูกมากที่สุดในปัจจุบันคือ ระบบการปลูกพืชที่ใช้น้ำเป็นวัสดุปลูก ข้อดีของผักที่ปลูกโดยไม่ใช้ดินก็คือ ผักที่ปลอดจากจุลินทรีย์ที่อาจจะมีตกค้างอยู่ในดิน ส่วนในเรื่องของยากำจัดศัตรูพืชฟาร์มที่ปลูกผักไฮโดรโปรนิกส์จะใช้วิธีป้องกันโดยปลูกในโรงเรือนป้องกันแมลงและใช้สารชีวภาพ อาจจะมีการใช้สารเคมีบ้างในช่วงแรก แต่เมื่อใกล้ถึงระยะเก็บเกี่ยวก็จะงดใช้ ดังนั้นผักไฮโดรโปรนิกส์ส่วนใหญ่จึงมักไม่มีปัญหาเรื่องของสารพิษตกค้าง โดยเฉพาะผักสลัดจะยิ่งไม่ค่อยพบปัญหาในเรื่องของแมลง จึงไม่จำเป็นต้องใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชโดยปริยาย

เลือกแบบไหนปลอดภัยกว่า

จากที่กล่าวไปแล้วข้างต้น จะเห็นได้ว่าผักแต่ละกลุ่มมีความแตกต่างกันทั้งในเรื่องของราคาและปริมาณสารตกค้างที่หลงเหลืออยู่ในผัก การที่จะเลือกว่าจะบริโภคผักกลุ่มใดนั้น ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของแต่ละคน เพียงแต่ควรจะมีการศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับผักในกลุ่มต่างๆ รวมถึงวิธีการล้างผักให้สะอาด เพื่อความปลอดภัยของคุณและครอบครัว ซึ่งคุณอรสาให้ความเห็นว่าจริงๆ แล้วการรับประทานผัก ไม่ว่าจะเป็นผักชนิดใดต่างก็มีประโยชน์ต่อร่างกายทั้งนั้น ส่วนการจะเลือกซื้อผักกลุ่มใดรับประทาน ก็ขึ้นอยู่กับกำลังซื้อของผู้บริโภค เพราะผักแต่ละกลุ่มก็มีราคาแตกต่างกันออกไป โดยเฉพาะผักไฮโดรโปรนิกส์ ซึ่งค่อนข้างมีราคาสูง และผักอินทรีย์ที่ไม่มีสารตกค้างเลย แต่ต้นทุนในการผลิตและดูแลสูง จึงทำให้ราคาสูงตามไปด้วย อย่างไรก็ตาม ก็ไม่ได้หมายความว่าผักในกลุ่มอื่นๆ จะไม่มีความปลอดภัยผู้บริโภคสามารถเลือกวื้อผักปลอดภัยจากสารพิษที่มีตรารับรองการผลิตที่ปลอดภัยได้มาตรฐาน เช่น การรับรองมาตรฐาน Q ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งในปัจจุบันมีจำหน่ายอย่างกว้างขวาง สามารถหาซื้อได้และราคาไม่สูงมากเมื่อเทียบกับผักทั้ง 2 ชนิดดังกล่าวข้างต้นและมีความปลอดภัยเช่นกัน

คุณชาญวิทย์ กาญจนวัฒน์ Managing Director บริษัท แนชเชอรัล แอนด์ พรีเมียม ฟู๊ด จำกัด หนึ่งในบริษัทผู้ผลิตผักอินทรีย์ (organic) ในประเทศไทย ภายใต้แบรนด์ Natural & Premium Food และ Organic Planet ผู้เล็งเห็นถึงคุณค่าของการรับประทานผักที่ปลูกด้วยวิธีธรรมชาติ จึงได้ริเริ่มธุรกิจการผลิตและจำหน่ายผักเกษตรอินทรีย์ขึ้น เพื่อต้องการให้ผู้บริโภคมีผักที่สด สะอาด และปราศจากสารพิษไว้รับประทาน ซึ่งแปลงผักทั้งหมดจะมีการควบคุมคุณภาพการผลิตทุกขั้นตอนอย่างละเอียด ตั้งแต่คุณภาพของดิน แหล่งน้ำที่ใช้ในการเพาะปลูก สภาพภูมิอากาศ รวมถึงมีการเพาะเลี้ยงแมลงที่ใช้ในการปราบศัตรูพืชเองอีกด้วย จากความมุ่งมั่นตั้งใจเพื่อให้ได้ผักที่ได้ชื่อว่าเป็นผักเกษตรอินทรีย์อย่างแท้จริง ทำให้บริษัท แนชเชอรัล แอนด์ พรีเมียม ฟู๊ด จำกัด ได้รับรองผลิตภัณฑ์อินทรีย์ จากกรมวิชาการเกษตร ใครที่สนใจ สามารถติดต่อสั่งซื้อได้โดยตรง ทางบริษัทฯ ยังจัดให้มีการเยี่ยมชมฟาร์มปลูกผัก เพื่อให้ผู้บริโภคได้เห็นถึงขั้นตอนการปลูกผักอย่างใกล้ชิด จะได้มั่นใจมากยิ่งขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้คุณชาญวิทย์ยังได้ฝากถึงคุณแม่ทุกคนว่า “เด็กในช่วงแรกเกิดถึง 15 ปี ระบบอิมมูนยังไม่สูงเท่ากับผู้ใหญ่ สมองและอวัยวะภายในทุกส่วนก็ยังอยู่ในช่วงที่กำลังเจริญเติบโต ความสามารถในการกำจัดสารพิษออกจากร่างกายก็ยังไม่ดีเท่าผู้ใหญ่ การที่เด็กได้รับสารเคมีเข้าสู่ร่างกาย โดยเฉพาะเด็กที่ชอบทานผัก แต่ผักนั้นมีสารพิษปนเปื้อนอยู่สารพิษเหล่านั้นก็จะเข้าไปสะสมอยู่ในร่างกายยาฆ่าแมลงที่ใช้กับผักมีผลโดยตรงต่อระบบประสาทและพัฒนาการของเด็กด้วย จึงอยากให้คุณแม่ระมัดระวังในการเลือกผักและอาหารอื่นๆ ที่ปลอดภัยให้กับลูก เพื่อพัฒนาการที่ดีของเขา”


ปลอดภัย มั่นใจได้ ด้วยตราสัญลักษณ์ Q

ในปัจจุบัน คนส่วนใหญ่เริ่มตระหนักถึงอันตรายที่เกิดขึ้นจากการใช้สารเคมีในการปลูกพืชและการบริโภคผักที่ปนเปื้อนสารเคมี แม้จะยังมีการกำหนดมาตรฐานการผลิตให้แก่เกษตรกร แต่ในฐานะผู้บริโภคอาจจะยังมีความกังวลอยู่ เนื่องจากไม่ได้เห็นกระบวนการผลิตของเกษตรกรด้วยตนเอง คุณอรสาแนะนำว่าผู้บริโภคควรจะเลือกซื้อผักจากแหล่งจำหน่ายที่ไว้ใจได้ และเพื่อความมั่นใจสามารถสังเกต ตรารับรองของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (Q) ซึ่งเป็นตรารับรองสินค้าที่ได้มาตรฐานและความปลอดภัย เพื่อเพิ่มความมั่นใจว่าผักที่ซื้อมีความปลอดภัยในการบริโภคอย่างแน่นอน


เลือกอย่างไรให้ได้ผักสด

การเลือกซื้อผักนั้น นอกจากต้องเลือกซื้อจากแหล่งจำหน่ายที่ไว้ใจได้, และมีตรารับรองคุณภาพและความปลอดภัยแล้ว ความสดของผักก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่คุณไม่ควรมองข้ามเพราะการรับประทานผักที่มีความสดใหม่อยู่จะได้คุณค่ามากกว่าผักที่เริ่มเหี่ยวแห้งแล้วอย่างแน่นอน ซึ่งวิธีการเลือกซื้อผักที่ยังสดใหม่และมีคุณภาพดี คือ
  • สังเกตบริเวณก้านใบ ก้านดอก หรือโคนต้น ต้องไม่มีสีขาวหรือสีเทา เพราะเป็นสีของเชื้อรา
  • สำหรับผักที่ทานใบ ใบต้องสด ไม่แห้ง ช้ำ เหลือง หรือมีราขึ้น
  • ผักควรมีใบติดแน่นกับโคนต้น
  • ผักที่ทานผล เช่น มะเขือ แตงกวา ให้เลือกที่ขั้วติดแน่น สีสดใหม่ ผิวตึงไม่แห้งไม่แก่หรืออ่อนเกินไป
  • ควรซื้อผักตามฤดูกาล จะได้ผักคุณภาพดี ราคาถูก

ล้างอย่างไร…ให้ปลอดภัยจากสารพิษ

แม้ว่าปัจจุบันจำนวนสารพิษที่ตกค้างในผักจะน้อยกว่าเมื่อก่อน แต่ก็ยังมีผักบางชนิดที่มีสารพิษตกค้างอยู่มาก ได้แก่ ผักกวางตุ้ง ผักคะน้า และถั่วฝักยาว เนื่องจากผักคะน้ากับกวางตุ้งเป็นพืชในเขตอบอุ่น มีถิ่นกำเนิดในต่างประเทศ เมื่อนำเข้ามาปลูกมาในประเทศไทยก็จะมีแมลงหลายชนิดมารุกราน เช่น หนอนใยผัก ซึ่งเป็นศัตรูพืชที่ควบคุมยาก ในอดีตเกษตรกรจึงมีการใช้ยาฆ่าแมลงค่อนข้างมาก ประกอบกับผักทั้ง 2 ชนิดนี้มีอายุสั้นเมื่อถึงเวลาเก็บเกี่ยวจึงยังมีสารพิษตกค้างอยู่มาก แต่ปัจจุบันเกษตรกรมีทางเลือกที่ปลอดภัยกว่า เช่น การใช้ยาเชื้อแบคทีเรีย (เชื้อบีที) สารสะเดา และสารชีวภัณฑ์อื่นๆ ในการควบคุม กำจัดแมลง จึงทำให้ผักคะน้าและกวางตุ้งมีความปลอดภัยสูงขึ้น แต่เพื่อความมั่นใจ ไม่ว่าผักชนิดไหน ก่อนนำมาปรุงอาหารควรล้างให้สะอาด หากมีสารตกค้างหลงเหลืออยู่ก็จะได้ถูกชำระล้างออกไปสำหรับวิธีล้างผักให้สะอาดและปลอดภัยก็มีอยู่หลายวิธี

วิธี เวลาลดปริมาณสารพิษ
ตกค้างได้(%)
1. ปอกเปลือกแล้วแช่น้ำสะอาด 5-10 แล้วล้างซ้ำด้วยน้ำสะอาด 27-72
2. แช่น้ำปูนใส 10 แล้วล้างซ้ำด้วยน้ำสะอาด 34-52
3. แช่น้ำด่างทับทิม (ด่างทับทิม 20-30 เกล็ด : น้ำ 4 ลิตร) 10 แล้วล้างซ้ำด้วยน้ำสะอาด 35-43
4. ล้างด้วยน้ำสะอาดหลายๆ ครั้งให้น้ำก๊อกไหลผ่าน นานอย่างน้อย 2 ที 25-39
5. แช่น้ำซาวข้าว 10 แล้วล้างซ้ำด้วยน้ำสะอาด 29-38
6. แช่น้ำส้มสายชูหรือเกลือป่น (น้ำส้มสายชูหรือเกลือป่น 1 ช้อนโต๊ะ : น้ำ 4 ลิตร) 10 แล้วล้างซ้ำด้วยน้ำสะอาด 29-38
7. แช่น้ำยาล้างผัก 10 แล้วล้างซ้ำด้วยน้ำสะอาด 22-36
8. ใช้ความร้อน (ต้ม, ลวก) 48-50


กินอย่างไร…ให้ห่างไกลสารพิษ

นอกจากการล้างผักนอกจากการล้างผักอย่างถูกวิธีแล้ว วิธีการเลือกรับประทานผักก็เป็นอีกหนึ่งหนทางหนึ่งที่จะช่วยลดการได้รับสารพิษตกค้างจากการรับประทานผักลงได้ โดยคุณควรจะ…
  • รับประทานผักให้หลากหลาย โดยหมุนเวียนสลับสับเปลี่ยนกันไป เพราะจากที่กล่าวไปแล้วข้างต้น ผักที่ยังมีการใช้สารเคมีในการปลูกและกำจัดศัตรูพืช อาจจะยังมีสารเคมีตกค้างเพียงแต่ในปริมาณที่ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย แต่หากคุณรับประทานผักชนิดนั้นๆ ซ้ำเป็นประจำ นอกจากได้สารอาหารที่ไม่หลากหลายแล้ว ยังอาจทำให้เกิดการสะสมของสารพิษในร่างกายได้

  • รับประทานผักตามฤดูกาล เพราะผักที่ปลูกตามฤดูกาลจะมีความแข็งแรง ดูแลง่าย เกษรตรกรจึงไม่จำเป็นต้องใช้สารเคมีในการกำจัดศัตรูพืชมากเท่าผักที่ปลูกนอกฤดู

  • เลือกรับประทานผักพื้นบ้าน หรือผักที่มีการฉีดพ่นสารเคมีน้อย เช่น กระถิน ชะอม ตำลึง ผักบุ้ง ถั่วงอก หัวปลี และหน่อไม้ เป็นต้น

กินผัก-ผลไม้ ให้ได้วันละ "ห้า"

ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพทั้งในระดับประเทศและนานาชาติ ต่างก็มีความเห็นในทิศทางเดียวกันว่า การรับประทานผักและผลไม้เป็นประจำ วันละ 5 ส่วน (คิดเป็นประมาณ 400 กรัมต่อวัน) จะเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพมากทีเดียว ซึ่งความหมายของคำว่า "5 ส่วน" ก็คือ ให้บริโภคผักผลไม้ให้หลากหลายเท่าที่จะเป็นไปได้ เลือกรับประทานให้ได้ครบทุกสี (ไม่รวมพืชหัวอย่างมันฝรั่งหรือมันเทศ เพราะพืชตระกูลหัวนั้น เป็นพืชที่ให้แป้งซึ่งมีความสำคัญต่อร่างกายในด้านอื่น) ทุกวัน โดยส่วนหนึ่ง หรือ หนึ่งเสิร์ฟนั้น มีปริมาณประมาณเต็มอุ้งมือของเรา ดังนั้น คำแนะนำ "วัน-ละ-ห้า" จึงหมายถึง 5 อุ้งมือเต็มๆ ของแต่ละบุคคล ไม่ว่าจะเป็นเด็ก วัยรุ่น ผู้ใหญ่ รวมถึงวัยผู้ใหญ่ที่ตัวเล็กก็เช่นกัน ซึ่งจากสถิติทั่วโลก, องค์การอนามัยโลกได้ประเมินว่า การบริโภคผักผลไม้น้อยเป็นสาเหตุให้เกิดมะเร็งในทางเดินอาหาร ร้อยละ 19, โรคหัวใจร้อยละ 31, และโรคลมปัจจุบันร้อยละ 11 ผู้เชี่ยวชาญได้จัดทำรายงานซึ่งตีพิมพ์โดยกองทุนวิจัยมะเร็งโลก (World Cancer Research Fund, WCRF) ในปี พ.ศ. 2540 ว่า ประมาณร้อยละ 30 - 40 ของกรณีการเกิดมะเร็งทั่วโลก (ราวๆ 3 - 4 ล้านกรณีที่เกิดใหม่ทุกปี) สามารถป้องกันได้ ด้วยวิธีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการกินอาหารในรายงานของกองทุนวิจัยมะเร็งระบุว่า หลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงบทบาทของอาหารโดยเฉพาะผักและผลไม้ ในการช่วยป้องกันมะเร็งนั้นมีความหนักแน่นมาก เหล่าผู้เชี่ยวชาญสรุปออกมาได้ว่า การบริโภคผักผลไม้อย่างหลากหลาย วันละไม่น้อยกว่า 400 กรัม จะสามารถช่วยลดโอกาสการเกิดมะเร็งโดยรวมได้อย่างน้อยร้อยละ 20 ไม่ว่าคนๆ นั้นจะมีรูปแบบการบริโภค หรือ การใช้ชีวิตอย่างไรก็ตาม

สำหรับผักไฮโดรโปรนิกส์นั้นเริ่มเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายและได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะผู้ที่ชอบรับประทานผักใบ ประเภท ผักสลัด ผักคะน้า และ กวางตุ้ง เป็นต้น การปลูกผักใบด้วยวิธีนี้ให้ผลผลิตที่ดี ไม่ต้องใช้เนื้อที่ในการเพาะปลูกมาก และดูแลรักษาง่าย ระยะเวลาในการเก็บเกี่ยวก็สั้นกว่าการปลูกบนดิน จึงทำให้มีเกษตรกรจำนวนมากหันมาปลูกผักประเภทนี้กันมาก หนึ่งในนั้นคือ บริษัท ศูนย์เกษตรกรรมบางไทร จำกัด ปัจจุบันนอกจากผลิตและจำหน่ายแล้ว ยังรับให้คำปรึกษาและแนะนำสำหรับผู้ที่สนใจปลูกด้วย หรือใครที่สนใจอยากลองปลูกผักไฮโดรโปรนิกส์ไว้รับประทานเองที่บ้าน ทางบริษัทก็มีชุด Happy Kit สำหรับทดลองปลูกจำหน่ายด้วย


ผัก…กินดี มีประโยชน์

ผักเป็นพืชที่มีคุณค่าทางอาหารสูง ให้ทั้งวิตามินและเกลือแร่ที่จำเป็นต่อร่างกาย องค์ประกอบของผักส่วนใหญ่ประกอบด้วยผนังเซลล์ที่เป็นเซลลูโลสหลายเส้นพันกันไปมา ทำให้เกิดความเหนียวผนังเซลล์เหล่านี้ร่างกายย่อยไม่ได้แต่ช่วยในเรื่องของการขับถ่าย ดังนั้นผู้รู้ที่รับประทานผักเป็นประจำจะทำให้ไม่เป็นโรคท้องผูก โรคริดสีดวงทวาร และลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งลำไส้ด้วย

บริเวณตรงกลางของเซลล์ผักจะมีน้ำบรรจุอยู่เต็มซึ่งเป็นแหล่งวัตถุดิบในการสร้างแป้งและน้ำตาลในผัก เราจึงได้รับคาร์โบไฮเดรตจากการรับประทานผักด้วย สารอาหารที่สำคัญในผักอีกชนิดหนึ่งคือเม็ดสีต่างๆ ได้แก่เม็ดสีเขียว เป็นส่วนสำคัญในการสร้างแป้งและน้ำตาลให้ผัก เม็ดสีเหลืองอมส้มหรือแคโรทีน จะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอเมื่อเรารับประทานเข้าไป วิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา ปรับสายตาให้เข้ากับความมืด ช่วยรักษาเนื้อเยื่อผิวหนัง วิตามินเอ พบมากในผักใบเขียวเข้มและผักสีเหลือง นอกจากนี้ในผักยังมีวิตามินซี ช่วยบำรุงเหงือกและฟัน และสร้างภูมิต้านทานโรคให้ร่างกาย ทำให้ผนังเส้นเลือดแข็งแรง บาดแผลหายเร็ว และช่วยในการดูดซึมธาตุเหล็ก ในผักยังเป็นแหล่งของแคลเซียมและธาตุเหล็กด้วย ประโยชน์ของธาตุเหล็ก คือช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง ซึ่งเป็นตัวพาออกซิเจนไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย ถ้าร่างกายขาดธาตุเหล็กจะเป็นโรคโลหิตจางและอ่อนเพลีย ส่วนแคลเซียมช่วยบำรุงกระดูก ถ้าขาดแคลเซียมจะเป็นโรคกระดูกอ่อน หากขาดแคลเซียมพร้อมกับโปรตีนจะทำให้กระดูกเปราะหักง่าย โดยเฉพาะทารกและหญิงมีครรภ์ที่มีความต้องการแคลเซียมมากกว่าคนทั่วไป นอกจากดื่มนมแล้วการรับประทานผักเป็นประจำ ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้ร่างกายของคุณแม่ไม่ขาดแคลเซียมค่ะ

นอกจากสารอาหารมากมายดังกล่าวแล้ว ในผักยังมีสารอีกชนิดหนึ่ง คือ สารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งมีความสำคัญไม่แพ้สารอาหารชนิดอื่นๆ เนื่องจากในชีวิตประจำวันของเรามีการรับประทานอาหารที่เป็นพิษที่เรียกกันว่า อนุมูลอิสระซึ่งมาพร้อมกับอาหารปิ้ง ย่าง และทอดจนเกรียม โดยใช้น้ำมันทอดอาหารซ้ำๆ กัน ทำให้กรดไขมันทำปฏิกิริยากับออกซอเจนในอากาศเกิดเป็นสารอนุมูลอิสระมาทำร้ายร่างกายทำให้อวัยวะส่วนต่างๆ เกิดความเสื่อมโทรมก่อนเวลาอันควร เช่น เกิดภาวะหลอดเลือดแข็งตัว ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูงไขข้อเสื่อมเกิดอาการปวดตามข้อ โรคภูมิแพ้ หอบ และ หืด และมีโอกาสป่วยบ่อยเนื่องจากภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานบกพร่อง ทำให้มีโอกาสเป็นมะเร็งมากขึ้น รวมทั้งโรคเบาหวานด้วย การรับประทานผักมีส่วนช่วยป้องกันได้ เพราะมีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยปกป้องเซลล์ร่างกาย สารที่สำคัญในกลุ่มนี้ คือสารเบต้าแคโรทีน ซึ่งมีมากในผักสีเหลืองหรือส้ม หรือสีเขียวเข้ม เช่นมะเขือเทศ แครอท ฟักทอง ข้าวโพด ตำลึง ปวยเล้ง พริกหวาน เป็นต้น ซึ่งจากงานวิจัยของกลุ่มนักวิจัยของสถาบันค้นคว้ามะเร็งในสหรัฐอเมริกา โดยเน้นบทบาทการรับประทานผักเป็นประจำในแต่ละวันและในปริมาณที่มากขึ้นก็จะสามารถลดอัตราการเพิ่มของผู้ป่วยโรคมะเร็งได้ถึงร้อยละ 20 เลยทีเดียว

จากทั้งหมดที่กล่าวมาคงจะทำให้ความเข้าใจเกี่ยวกับผักประเภทต่างๆ มีความกระจ่างมากยิ่งขึ้นแล้วใช่ไหมคะ เราเชื่อว่าจากนี้ไป สมาชิกในบ้านคงได้รับประทานผักที่ดี มีคุณภาพ และปลอดภัยกันถ้วนหน้าอย่างแน่นอน สำหรับครอบครัวที่ไม่เคยสนใจใยดีกับผักเลย ลองหันมาเริ่มรับประทานผักได้แล้วนะคะนอกจากนี้คุณพ่อคุณแม่ควรปลูกฝังให้เด็กๆ เห็นคุณค่าของผักและรักษาการกินผักตั้งแต่วันนี้ จะได้มีสุขภาพดีต่อไปในวันข้างหน้าดีกว่าต้องมานั่งกินยาเวลาป่วยนะคะ


(update 1 ธันวาคม 2006)
[ ที่มา.. นิตยสารบันทึกคุณแม่ No.158 September 2006]


[ BACK TO LIST]

main พบแพทย์ คอมพิวเตอร์ เรื่องบ้าน เรื่องรถ เรื่องกฏหมาย เรื่องของผู้บริโภค เรื่องเบาๆ คลายเครียด

มีปัญหาสุขภาพ ที่นี่มีคำตอบ ห้องสมุด E-LIB
Best view with [IE3.02][NETSCAPE 4.05][OPERA 3.21] resolution 800x600