คุณแม่หลังคลอดหลายคนอาจจะบ่นว่า แหม...เรื่องอย่างนี้ยังไม่คิดหรอก แค่เรื่องเลี้ยงลูก ดูแลงานบ้านชีวิตก็ยุ่งเหยิงเต็มทีแล้ว
แต่อย่าลืมนะคะว่า สิ่งนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตคู่ นอกจากจะให้เวลาเจ้าตัวเล็กแล้ว การให้เวลาคุณพ่อด้วยก็จะทำให้สายใยความมั่นคงของครอบครัวนั้นเหนียวแน่นมากขึ้น วันนี้เรามี พญ.เยาวลักษณ์ รพีพัฒนา สูตินรีแพทย์ จากโรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท มาให้คำแนะนำและไขข้อข้องใจเกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์หลังคลอดกันค่ะ
มีได้หรือไม่...เมื่อไหร่จะดี
การมีเพศสัมพันธ์หลังคลอดจะมีได้หลังคลอดอย่างน้อย 4-6 สัปดาห์ค่ะ ขึ้นอยู่กับว่าคลอดแบบไหน ถ้าคลอดเอง สัก 4 สัปดาห์ก็สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ แต่ถ้าบางคนคลอดเองแล้วแผลฝีเย็บได้ไม่มีเลย กรณีนี้ส่วนมากจะเป็นครรภ์หลัง คือไม่ใช่การคลอดครั้งแรก ก็อาจจะมีเพศสัมพันธ์ได้เร็วกว่านั้น แต่ถ้าผ่าคลอดก็อาจจะต้องรอให้ถึง 6 สัปดาห์แล้วมาตรวจแผลที่มดลูกก่อนว่าแห้งดีหรือยัง จึงจะมีเพศสัมพันธ์ได้ค่ะ
ถ้าจะถามว่าทำไมต้อง 4-6 สัปดาห์ คำตอบง่ายๆ ก็คือ
- ร่างกายคุณแม่หลังคลอดก่อน 4-6 สัปดาห์นั้น เรียกได้ว่า ยังไม่เข้าที่เข้าทาง พูดง่ายๆ ว่ามดลูกและกล้ามเนื้อต่างๆ รวมไปถึงช่องคลอดและอุ้งเชิงกรานยังไม่เข้าที่
- แผลฝีเย็บที่อาจจะยังไม่แห้งสนิทอาจจะทำให้เกิดความเจ็บปวดขณะมีเพศสัมพันธ์ได้ ข้อนี้ส่งผลทั้งทางร่างกายซึ่งแผลอาจจะเกิดการอักเสบ และจิตใจที่อาจจะไม่ชอบการมีเพศสัมพันธ์ไปเลยก็ได้
- ช่วงก่อน 4-6 สัปดาห์นี้ คุณแม่จะยังมีน้ำคาวปลาอยู่จึงเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย
น้ำคาวปลา...ปัจจัยบ่งบอกที่สำคัญ
น้ำคาวปลาหลังคลอดปกติจะเป็นเลือดสีแดง เมื่อรกลอกหลุดออกมามันก็จะเป็นตัวที่บ่งบอกเป็นสัญญาณสำคัญคือ น้ำคาวปลา เพราะเมื่อน้ำคาวปลาหมด นั่นหมายความว่า สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ แต่ไม่ทุกรายนะคะ ทางที่ดีควรปรึกษาคุณหมอก่อนจะเป็นการดีที่สุด กลายเป็นน้ำคาวปลา จากสีแดงสดใน 2-3 วันแรก จะกลายเป็นน้ำสีชมพู เนื่องจากมีเม็ดเลือดขาวและเนื้อเยื่อต่างๆ มาปกคลุม ในบางคนอาจจะมีอยู่สัก 2 สัปดาห์ บางคนนานเป็นเดือน บางคนมากไปถึง 6-8 สัปดาห์ ก็มีจากนั้นก็จะเป็นเหมือนน้ำเหลืองออกมา
ทั้งนี้การที่น้ำคาวปลาจะมากหรือน้อยนั้นขึ้นอยู่กับการคลอด ถ้าคลอดยาก ใช้เวลาคลอดที่ยาวนาน น้ำคาวปลาก็จะมาก ขนาดของตัวเด็กก็สำคัญเพราะเด็กที่ตัวโต รกก็จะเยอะ โดยปกติแล้วรกจะมีขนาดเป็น 1 ใน 5 ของตัวเด็ก หรือในรายที่มีครรภ์แฝด หรือมีน้ำคร่ำมาก น้ำคาวปลาก็จะมากด้วย
คุมกำเนิดอย่างไร...ได้ผลดี
คุมกำเนิดในคุณแม่ที่ให้นมลูกเอง ควรเลือกรับประทานยาคุมที่มีปริมาณฮอร์โมนต่ำ หรือจะเลือกแบบฉีดยา ฝังยา หรือใส่ห่วงก็ได้ ซึ่งยาคุมชนิดนี้ใช้ในหญิงตั้งครรภ์ที่ให้นมบุตรเท่านั้น ข้อดีคือยาจะไม่ทำให้น้ำนมแห้ง ไม่เหมือนกับการคุมกำเนิดแบบทานทั่วไป หรือแผ่นแปะ ที่จะทำให้น้ำนมแห้ง ไม่เหมาะกับการคุมกำเนิดในช่วงนี้ แต่ข้อเสียก็คือใช้คุมได้ไม่ตลอดไป เมื่อหยุดให้นมบุตรแล้วก็ต้องเปลี่ยนยา
ความผิดปกติที่ต้องระวัง
อันนี้ไม่เฉพาะการมีเพศสัมพันธ์หลังคลอดเท่านั้น ในคุณแม่ทุกรายที่มีอาการเหล่านี้คือเป็นสัญญาณอันตรายที่ต้องเข้าพบแพทย์โดยด่วนค่ะ
1. เป็นไข้ หนาวสั่น
2. น้ำคาวปลาผิดปกติ มีกลิ่นเหม็นเน่า ปกติน้ำคาวปลาที่ออกมาจะมีกลิ่นเลือดสดๆ เท่านั้น
3. น้ำคาวปลาออกมาเป็นเลือดแดงนานกว่า 1 สัปดาห์ อาจจะเกิดจากการที่เดินมากไป อุบัติเหตุหกล้ม ทำให้แผลด้านในแยกก็ต้องรีบมาพบแพทย์
4. เจ็บแผลฝีเย็บนานเกินกว่าปกติ โดยทั่วไปจะเจ็บอยู่ประมาณ 1 สัปดาห์ จากนั้นจะรู้สึกตึงๆ แต่หากยังเจ็บระบมอยู่ อาจจะเป็นไปได้ว่าเกิดการอักเสบของแผล ให้รีบมาพบแพทย์เพื่อทำการรักษาต่อไป
5. มีก้อนเลือดออกมา อาจเป็นไปได้ว่ามีรกค้าง ถ้าปริมาณไม่มาก คุณหมอจะให้ยาที่ช่วยให้มดลูกบีบตัว มีทั้งยาฉีดและยารับประทาน คุณแม่ไม่ควรจะหายาขับน้ำคาวปลามารับประทานเอง เพราะส่วนใหญ่เป็นพวกสมุนไพร ไม่มีฤทธิ์เพียงพอ
เท่านี้คงสามารถตอบข้อสงสัยของคุณแม่หลายๆ ท่านเกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์หลังคลอดได้แล้วนะคะ อย่างไรก็ตามการที่จะเริ่มมีเพศสัมพันธ์กันได้นั้น โดยเฉพาะในท้องแรกควรปรึกษาคุณหมอก่อนจะเป็นการปลอดภัยที่สุดค่ะ ส่วนในท้องหลังๆ นั้นหากไม่มีภาวะผิดปกติใด ก่อนหน้า คุณแม่จะใช้วิธีสังเกตตนเองดูก็ได้ค่ะ ที่สำคัญกว่านั้นอย่าลืมเรื่องการคุมกำเนิดนะคะ ยิ่งในสมัยนี้วิทยาการก้าวไกลมีวิธีให้เลือกใช้อย่างหลากหลาย การตั้งครรภ์เมื่อพร้อมจึงเป็นทางเลือกที่กำหนดได้ไม่ยากค่ะ เพื่อที่จะได้ให้ความรักความเอาใจใส่กับเจ้าตัวเล็กในท้องนี้ให้เต็มที่ก่อนและคุณแม่จะได้ไม่เหนื่อยเกินไปด้วยค่ะ
(update 18 พฤศจิกายน 2008)
[ ที่มา..
นิตยสารบันทึกคุณแม่ Vol.15 Issue 178 May 208 ]
|