แมงลัก มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Ocimum citriodorum
วงศ์ Labiatae
ชื่อสามัญ Hoary Basil, Lemon Basil, Thai Lemon Basil
ชื่ออื่น ก้อมก้อขาว
แมงลักเป็นพืชล้มลุกในสกุลกะเพรา-โหระพา ลักษณะของต้นแมงลักจะคล้ายต้นกะเพรา ต่างกันที่กลิ่นและใบจะมีสีเขียวจางกว่าใบกะเพรา
แมงลักมีลำต้นสูงประมาณ 65 เซนติเมตร มีกลิ่นหอมทุกส่วน ใบเป็นใบเดี่ยวทรงรี หรือรูปหอกหรือรีขอบใบเรียว บ้างมีขอบหยักมน มีกลิ่นหอมคล้ายมะนาวฝรั่ง
ดอกออกช่ออยู่ปลายยอด ช่อดอกจะออกเรียงเป็นชั้นๆ กลีบดอกมีสีขาวออกเป็นวงรอบก้าน
ผลจะเป็นผลชนิดแห้ง ภายในมี 4 ผลย่อย เรียกว่าเมล็ดแมงลัก
ใบแมงลักใช้กินสด ใส่สลัดผัก ประดับจานอาหาร ส่วนมากในประเทศไทยจะกินกับขนมจีน หรือใส่แกงเลียง และแกงต่างๆ
ผลที่คนไทยเรียกว่าเมล็ดแมงลักใช้ทำขนมน้ำแข็งไส ใส่ไอศกรีม ใส่น้ำเต้าหู้ หรือใส่ในวุ้น และใช้เป็นยาระบายชนิดเพิ่มกาก
ใบแมงลักมีน้ำมันหอมระเหยราวร้อยละ 0.7 น้ำมันหอมระเหยที่เป็นส่วนประกอบหลักคือ ซิทรัล (citral) ต่างประเทศใช้ใบแมงลักแต่งกลิ่นอาหาร เนื่องจากมีกลิ่นมะนาวจึงมักใช้แต่งกลิ่นอาหารจำพวกปลาและไก่ในอาหารฝรั่ง
ที่สหรัฐอเมริกาปลูกแมงลักเป็นไม้ประดับและใช้ใบแห้งประกอบบุหงาสำหรับสุคนธบำบัด
| ใบแมงลัก 100 กรัม มีสารอาหารสำคัญดังนี้ |
| แคลเซียม
ฟอสฟอรัส
เหล็ก
วิตามินเอ
ไทอามีน
ไรโบฟลาวิน
ไนอาซิน
วิตามินซี
เส้นใยอาหาร
คาร์โบไฮเดรต
ไขมัน
โปรตีน
พลังงาน |
350 มิลลิกรัม
86 มิลลิกรัม
4.9 มิลลิกรัม
10,666 มิลลิกรัม
0.30 มิลลิกรัม
0.14 มิลลิกรัม
1.0 มิลลิกรัม
78 มิลลิกรัม
2.6 กรัม
11.1 กรัม
0.8 กรัม
2.9 กรัม
32 แคลอรี |
คุณสมบัติทางยาของแมงลักที่มีใช้ในประเทศไทย
ขับลมในลำไส้ อาหารไม่ย่อย อาการอึดอัด แน่น ไม่สบายท้อง ให้นำต้นและใบแมงลักต้มน้ำดื่ม
ขับเหงื่อ เมื่อมีอาการครั่นเนื้อครั่นตัว ไม่ค่อยสบายนำต้นและใบแมงลักต้มน้ำดื่ม
บรรเทาอาการหวัด อาการคัดจมูก น้ำมูกไหล หลอดลมอักเสบ ใช้ใบแมงลัก 1 กำมือ ล้างสะอาด โขลกคั้นน้ำดื่ม 1 ถ้วยตะไลบรรเทาอาการดังกล่าว สำหรับกรณีของหลอดลมอักเสบให้คั้นน้ำดื่ม 1 ถ้วยตะไล 3 เวลา เช้า-กลางวัน-เย็น
บรรเทาอาการผื่นคัน พิษจากพืช พิษสัตว์กัดต่อย หรืออาการคันจากเชื้อรา ใช้ใบแมงลักสดโขลกพอกบริเวณที่มีอาการ และเปลี่ยนยาบ่อยๆ
แก้ท้องร่วงท้องเสีย ใบแมงลักสัก 2 กำมือ ล้างสะอาด โขลกบีบคั้นน้ำดื่ม แก้ท้องร่วงได้
เพิ่มน้ำนมแม่ ให้แม่ที่ให้นมลูกกินแกงเลียงหัวปลีใส่ใบแมงลัก และให้ลูกดูดหัวน้ำนมบ่อยๆ เพิ่มการสร้างน้ำนม
บำรุงสายตา ใบแมงลักมีวิตามินเอสูง การกินใบแมงลักเป็นประจำช่วยบำรุงสายตา
บำรุงเลือด แก้โลหิตจาง ใบแมงลักอุดมด้วยธาตุเหล็กช่วยบำรุงโลหิต
เสริมสร้างกระดูก ใบแมงลักมีแคลเซียมสูงช่วยบำรุงกระดูก
เป็นยาระบาย ใช้เมล็ดแก่ของแมงลักสัก 1 ช้อนชาแช่น้ำ 1 แก้ว ปล่อยให้พองตัวดีแล้ว เติมน้ำตาลเล็กน้อย ดื่มแก้ท้องผูก แนะนำให้ใช้กับหญิงตั้งครรภ์และแม่ที่เลี้ยงลูกด้วยนมตนเอง ที่ไม่ต้องการภาวะท้องผูก เพราะเป็นการแก้ปัญหาแบบธรรมชาติ
ใช้ลดความอ้วน เปลือกผล (ที่เรียกเมล็ดแมงลัก) มีสารเมือกซึ่งสามารถพองตัวในน้ำได้ 45 เท่า เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ชอบกินอาหารที่มีกาก ใช้ผลแมงลัก 1-2 ช้อนชาแช่น้ำ 1 แก้ว ทิ้งไว้จนพองตัวเต็มที่ กินก่อนมื้ออาหารครึ่งชั่วโมง ดื่มน้ำตาม ช่วยให้กินอาหารได้น้อยลง ลดปริมาณพลังงานอาหาร ช่วยให้อุจจาระอ่อนตัว จำนวนครั้งในการขับถ่ายและปริมาณอุจจาระเพิ่มขึ้น ลดอาการท้องผูกด้วย
ข้อควรระวังในการใช้แมงลัก ถ้าใช้เมล็ดแมงลักที่ยังพองตัวไม่เต็มที่จะทำให้มีการดูดน้ำจากลำไส้ เกิดอาการขาดน้ำ และอาจเกิดอาการลำไส้อุดตันได้ (โดยพาะแมงลักที่บดเป็นผง) รวมถึงที่ต่างประเทศใช้ใบแมงลักบรรเทาอาการไอ ขับเหงื่อ และขับลม
การศึกษาทางเภสัชวิทยาและทางการแพทย์
ฤทธิ์ยาระบาย
การศึกษาในสัตว์ทดลอง เมื่อป้อนเมล็ดแมงลักขนาด 37.5 มก./กก. ละลายน้ำให้เพองตัว ให้หนูขาวและหนูถีบจักร จะมีผลทำให้ลำไส้มีการเคลื่อนไหวเทียบเท่ากับการให้หนูกินยาถ่าย Metamucil ขนาด 300 มก./กก.
การทดลองทางคลินิก มีการทดลองใช้เมล็ดแมงลัก โดยใช้ปริมาณ 2 ช้อนชา ผสมน้ำ 240 มล. หรือประมาณ 1 แก้ว ให้ผลเป็นยาระบายในคนปกติเช่นเดียวกับ psyllium 2 ช้อนชา โดยมีผลที่น่าสนใจคือเพิ่มจำนวนครั้งในการถ่าย เพิ่มปริมาณอุจจาระ ทำให้อุจจาระอ่อนตัวกว่าปกติ จากการศึกษาจะพบว่าเมล็ดแมงลักสามารถใช้เป็นยาระบายได้ดี
นอกจากนี้ยังมีการทดลองกับผู้ป่วยที่จะได้รับการผ่าตัดต่อมลูกหมากและนิ่วในไต โดยให้กินยาระบายเมล็ดแมงลัก (เมล็ดแมงลักบดเป็นผง) ขนาดครึ่งถึง 1 ช้อนชา และ 1 ช้อนชาครึ่ง ในน้ำ 150 มิลลิลิตร 3 ครั้งหลังอาหาร/วัน และหลังการผ่าตัด เป็นเวลา 3-8 วัน และกลุ่มควบคุมที่ไม่ได้รับเมล็ดแมงลักพบว่าสัดส่วนอาการท้องผูกหลังการผ่าตัดของผู้ป่วยกลุ่มควบคุมที่ไม่ได้รับเมล็ดแมงลักเท่ากับร้อยละ 80.6
ขณะที่กลุ่มที่ได้รับเมล็ดแมงลักมีสัดส่วนของอาการท้องผูกเท่ากับร้อยละ 13.3, 31.6 และ 10.5 ตามลำดับ จากการทดลองจะเห็นว่าเมล็ดแมงลักสามารถลดอาการท้องผูกของผู้ป่วยหลังผ่าตัดได้
ฤทธิ์ต้านออกซิเดชัน
งานวิจัยจากอินเดีย ปี พ.ศ. 2551 รายงานการพบสารโพลีฟีนอลหลายชนิดในใบแมงลัก สารดังกล่าวคือกรดโรสมารินิก กรดลิโทสเปอมิก กรดวานิลิก กรดคูมาริก กรดไฮดรอกซีเบนโซอิก กรดซีริงจิก กรดกาเฟอิก กรดเฟอรูลิก กรดซินามิก กรดไฮดรอกซีฟีนิลแล็กติกและกรดซินาปิก
สารสกัดใบแมงลักแสดงฤทธิ์ต้านออกซิเดชันในหลอดทดลองได้เป็นอย่างดี
ปัจจุบันมีงานวิจัยของไทยเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์จากแมงลัก มีการทดลองใช้มิวซิเลจ (สารเมือก) จากเมล็ดแมงลักเป็นสารให้ความคงตัวแทนกัวร์กัมในการผลิตไอศกรีมกล้วยหอม พบว่าเมื่อปริมาณของมิวซิเลจจากเมล็ดแมงลักเพิ่มขึ้น ไอศกรีมจะมีความหนืดสูงขึ้น เมื่อนำมาทดสอบทางประสาทสัมผัสเปรียบเทียบกับไอศกรีมกล้วยหอมสูตรมาตรฐาน ที่ใช้กัวร์กัมเป็นสารให้ความคงตัว พบว่าสูตรที่ใช้มิวซิเลจจากเมล็ดแมงลักร้อยละ 0.5 มีเนื้อสัมผัส การละลายในปากและความชอบโดยรวมสูงกว่า และมีปริมาณเส้นใยสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แปลว่าไอศกรีมสารเมือกเมล็ดแมงลักอร่อยกว่าไอศกรีมที่ทำจากกัวร์กัม และมีคุณค่าอาหารสูงกว่าด้วย
อืมม์...ไอศกรีมที่อร่อยกว่าเดิม มีปริมาณเส้นใยอาหารสูง ดีต่อสุขภาพใช้สารที่ผลิตได้ในประเทศเมื่อไหร่จะออกผลิตภัณฑ์สู่ตลาดหนอ...
ถ้าจะกินใบแมงลักเพื่อให้ฤทธิ์ต้านออกซิเดชันคงต้องกินใบแมงลักบ่อยๆ เพราะปริมาณสารอาหารออกฤทธิ์ในใบแมงลักมีไม่มาก ถ้าจะกินกับขนมจีนก็ควรจะเป็นขนมจีนน้ำยาป่านะคะเพื่อไม่เพิ่มไขมันให้มากจนเกินควร
เนื่องจากเราคงรอไอศกรีมใส่สารคงตัวจากสารเมือกแมงลักไม่ไหว ตอนนี้ก็ชวนกันกินเม็ดแมงลักในน้ำเต้าหู (แบบหวานน้อย) ไปพลางๆ ก่อน
บอกคนขายว่าขอเม็ดแมงลักมากๆ ดีต่อสุขภาพและประหยัดเงินมากกว่ากินเมทามูซิลมากเลยค่ะ
(update 10 เมษายน 2010)
[ ที่มา..
นิตยสารหมอชาวบ้าน ปีที่ 30 ฉบับที่ 357 มกราคม 2552 ]
|