การเสนอคดีต่อศาลที่จะต้องเสียค่าขึ้นศาลนั้น หมายถึงเฉพาะคดีแพ่ง คดีภาษีอากร และคดีล้มละลายเท่านั้น ส่วนคดีอาญาและคดีแรงงานกฎหมายยกเว้นให้ไม่ต้องเสียค่าขึ้นศาล
คดีแพ่งและคดีภาษีอากรมีหลักเกณฑ์ในการเสียค่าขึ้นศาลเหมือนกัน คือ แยกเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์กับคดีมีทุนทรัพย์
คดีไม่มีทุนทรัพย์ คือ คดีที่ผู้เสนอคดีขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดในสิ่งที่ไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ เช่น คดีฟ้องหย่า คดีร้องขอตั้งผู้จัดการมรดก เป็นต้น การเสนอคดีไม่มีทุนทรัพย์คู่ความผู้เสนอคดีต้องเสียค่าขึ้นศาลเพียง 200 บาท
ส่วนคดีมีทุนทรัพย์นั้น คือ คดีที่ฟ้องหรือร้องขอในสิ่งที่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ เช่น คดีเรียกหนี้เงินกู้ คดีขอให้ส่งมอบที่ดินตามสัญญาจะซื้อจะขาย หรือคดีขอให้ศาลยกเลิกเพิกถอนคำสั่งของเจ้าพนักงานประเมินภาษีและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์ที่ให้ผู้เสนอคดีเสียภาษี เป็นต้น การเสนอคดีมีทุนทรัพย์ คู่ความฝ่ายที่เสนอคดีจะต้องเสียค่าขึ้นศาลร้อยละ 2.50 บาท ตามจำนวนทุนทรัพย์ในคดีนั้นแต่ไม่เกิน 200,000 บาท
ส่วนคดีมีทุนทรัพย์นั้น คือ คดีที่ฟ้องหรือร้องขอในสิ่งที่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ เช่น คดีเรียกหนี้เงินกู้ คดีขอให้ส่งมอบที่ดินตามสัญญาจะซื้อจะขาย หรือคดีขอให้ศาลยกเลิกเพิกถอนคำสั่งของเจ้าพนักงานประเมินภาษีและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการ วินิจฉัยอุทธรณ์ที่ให้ผู้เสนอคดีเสียภาษี เป็นต้น การเสนอคดีมีทุนทรัพย์ คู่ความฝ่ายที่เสนอคดีจะต้องเสียค่าขึ้นศาลร้อยละ 2.50 บาท ตามจำนวนทุนทรัพย์ในคดีนั้น แต่ไม่เกิน 200,000 บาท
การเสียค่าขึ้นศาลในคดีมีทุนทรัพย์ในขณะนี้มีปัญหาในทางปฏิบัติเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคดีที่มีทุนทรัพย์เกินกว่า 8,000,000 บาท มักจะเกิดปัญหาข้อโต้แย้งกันระหว่างโจทก์ผู้เสียค่าขึ้นศาลกับศาลผู้เรียกเก็บค่าขึ้นศาลอยู่เสมอ โดยฝ่ายโจทก์จะขอเสียค่าขึ้นศาลในอัตราสูงสุด 200,000 บาท แต่ศาลบางศาลเรียกเก็บค่าขึ้นศาลคดีหนึ่งเกินกว่า 200,000 บาท โดยศาลดังกล่าวให้เรียกค่าขึ้นศาล โดยแยกจำนวนทุนทรัพย์ออกเป็นหลายจำนวนตามรายการที่โจทก์ฟ้อง เช่น โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระหนี้ตามสัญญาขายลดเช็ค 10 ฉบับ ฉบับละ 10,000,000 บาท ศาลดังกล่าวก็จะเรียกค่าขึ้นศาลร้อยละ 2.50 บาท เป็นรายฉบับ ฉบับละ 2,000,000 บาท ในขณะที่ศาลบางศาลเรียกค่าขึ้นศาลในคดีทำนองเดียวกันนี้เพียง 200,000 บาท เท่านั้น
สำหรับความเห็นของผมเห็นว่า ศาลเป็นหน่วยของรัฐ การที่ราษฎรมีข้อพิพาทกันแล้วไปขอให้ศาลเป็นผู้วินิจฉัยชี้ขาดให้นั้น เป็นการที่ราษฎรไปขอใช้บริการของรัฐ อันมิใช่การดำเนินธุรกิจเพื่อหากำไร แม้กฎหมายจะกำหนดให้ศาลเรียกเก็บค่าธรรมเนียมคือ ค่าขึ้นศาลจากราษฎรที่ไปขอใช้บริการในอัตราร้อยละ 2.50 บาท ของจำนวนทุนทรัพย์ไว้ให้เรียกเก็บได้ไม่เกิน 200,000 บาท แสดงว่าโดยหลักแล้วคดีเรื่องหนึ่งหรือคำฟ้องเรื่องหนึ่งศาลจะเรียกเก็บค่าขึ้นศาลจากโจทก์เกินกว่า 200,000 บาทไม่ได้ ดังจะเห็นเจตนารมย์ของกฎหมายได้จากบทบัญญัติในตาราง 1 (1) (ก) ท้าย ป.วิ.พ. นั่นเอง ซึ่งบัญญัติว่า "(1) คดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ให้คิดค่าขึ้นศาลตามทุนทรัพย์ดังต่อไปนี้
(ก) คำฟ้องนอกจากที่ระบุไว้ใน (ข) และ (ค) ต่อไปนี้ ให้เรียกโดยอัตราสองบาทห้าสิบสตางค์ต่อทุกหนึ่งร้อยบาท แต่ไม่ให้เกินสองแสนบาท"
ทั้งนี้เว้นแต่คดีนั้นมีหลายข้อหา แต่ละข้อหานั้นไม่เกี่ยวข้องกัน ดังตัวอย่างในคำพิพากษาฎีกาที่ 1216/2535 ซึ่งศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "การพิจารณาว่า คดีใดจะต้องเสียค่าขึ้นศาลเท่าใดต้องพิจารณาคำฟ้องเป็นเกณฑ์ ซึ่งต้องดูว่าคำฟ้องที่เสนอต่อศาลมีกี่ข้อหา โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายฐานผิดสัญญาข้อหาหนึ่งและฟ้องเรียกค่าเสียหายฐานละเมิดอีกข้อหาหนึ่ง คำฟ้องของโจทก์จึงเป็นการเสนอข้อหา 2 ข้อหาและแยกจากกันได้ โจทก์จึงต้องเสียค่าขึ้นศาล 2 ข้อหา"
คนไปศาลล้วนแต่มีความทุกข์ โจทก์ทุกข์เพราะถูกเบี้ยวหนี้ ไปศาลหวังให้ศาลปลดเปลื้องทุกข์ให้ กฎหมายจึงเรียกคดีแพ่งมีทุนทรัพย์หรือไม่มีทุนทรัพย์ว่า คำขอปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้หรือไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ศาลปลดเปลื้องทุกข์ให้แล้ว ก็ไม่แน่ว่าทุกข์นั้นจะหมดไป เพราะถ้าจำเลยไม่มีทรัพย์สินให้ยึดมาชำระหนี้ทุกข์ของโจทก์ก็กลับจะเมมากขึ้น เนื่องจากได้เสียเวลา เสียเงินค่าขึ้นศาล และค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีไปไม่น้อย จำเลยก็ทุกข์ เพราะถ้าศาลปลดเปลื้องทุกข์ให้โจทก์ได้ ทุกข์นั้นก็จะตกแก่จำเลย จำเลยบางคนจึงหนีทุกข์ไม่ยอมไปศาลเลย ซึ่งกฎหมายเรียกจำเลยชนิดนี้ว่า จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ขาดนัดพิจารณา
ครับ ยิ่งค่าขึ้นศาลแพง ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีแพง ใช้เวลาในการดำเนินคดีนาน ทุกข์ของโจทก์และจำเลยก็ยิ่งมากขึ้นเป็นธรรมดา
คนข้างศาล
| main | ![]() |
![]() |
|
|
![]() |
|