ข้อตกลงจะยกทรัพย์สินให้บุตร
ดิฉันแต่งงานกับสามี มีลูกสาว 1 คน มีทรัพย์สินชิ้นใหญ่คือ บ้านเดี่ยวพร้อมที่ดิน 200 ตารางวา
ต่อมาเรามีปัญหาต้องเลิกกัน โดยก่อนหย่ากันดิฉันขอให้สามีโอนบ้านและที่ดินให้กับดิฉัน
มิฉะนั้นดิฉันจะไม่หย่าให้
แต่สามีไม่ยอมโอนให้และกดดันดิฉันหลายทาง จนดิฉันทนต่อไปไม่ไหว จึงขอหย่า
เราได้ตกลงกันว่าจะยกบ้าน และที่ดินให้แก่ลูกสาวแทน โดยที่อำเภอเจ้าหน้าที่ได้ทำการหย่า
ได้เขียนไว้ท้ายใบทะเบียนหย่าว่า สามีจะยกบ้าน และที่ดินให้แก่ลูก สาวคนนี้ไว้ด้วย
แต่หลังจากสามีได้ใบหย่าเรียบร้อยแล้ว เขาก็ไม่มีทีท่าว่าจะโอนให้แต่อย่างใด
ติดต่อไปทีไรก็ทะเลาะกันทุกที ดิฉันรู้สึกเบื่อทุกครั้งที่จะไปทวงสัญญาจากสามี
ขณะนี้สามีก็มีภริยาใหม่และกำลังจะมีลูกด้วยกัน ดิฉันจึงเป็นห่วงว่าหากต่อไปสามีไปทำการยก
บ้านและที่ดินให้ภริยาหรือลูกคนใหม่ ลูกสาวของดิฉันจะยังมีสิทธิอีกหรือ จึงอยากทราบว่า
การที่สามีทำหนังสือไว้กับดิฉันในทะเบียนหย่าว่าจะยกบ้านและที่ดินให้แก่ลูกสาว
แต่ไม่ไปโอนนั้นถามว่าดิฉันหรือลูกสาวที่จะต้องเป็นผู้ฟ้องสามีให้โอนบ้านและที่ดินดังกล่าวให้แก่ลูกสาว
และมีกำหนดเวลาในการจะฟ้องได้นานแค่ไหน
คุณแม่คนหนึ่ง
|
โดยหลักกฎหมายแพ่งทั่วไป ว่าด้วยการยกให้โดยเสน่หาซึ่ง ทรัพย์สินที่เป็นอสังหาริมทรัพย์
คือทรัพย์ที่เคลื่อนที่ไม่ได้ เช่น บ้าน ที่ดิน คอนโดฯเป็นต้น จะต้องทำตามแบบคือทำเป็นหนังสือ
และจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ มิฉะนั้นจะตกเป็นโมฆะ คือจะทำเป็นหนังสือ
เพียงแสดงเจตนาไว้อย่างเดียวไม่ได้ จะต้องไปจดทะเบียนโอนต่อพนักงาน เจ้าหน้าที่ด้วย
แต่ถ้าเป็นเรื่องการแบ่งทรัพย์สินของสามีภริยานั้น สามีภริยาอาจจะจดทะเบียนการหย่า
และทำบันทึกเกี่ยวกับทรัพย์สิน โดยยกทรัพย์สินให้แก่บุตรด้วยเจตนา ให้มีผลผูกพันตามกฎหมายก็ได้
ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้ไปทำการโอนทางทะเบียนให้เรียบร้อยต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ก็ไม่ตกเป็นโมฆะ
โดยอาจจะทำเป็นหนังสือสัญญาระหว่างสามีภริยา หรือบันทึกข้อตกลงระหว่างสามีภริยาแยกไว้ต่างหาก
แต่ส่วนใหญ่ที่เห็นมักจะทำเป็นข้อตกลง ในบันทึกหลังทะเบียนการหย่า
ดังนั้นการที่ในเวลาต่อมาสามีหรือภริยา ที่ไปตกลงยกทรัพย์สินให้แก่บุตรไว้
ไม่ยอมปฏิบัติตามข้อตกลงในบันทึกดังกล่าว ภริยาหรือสามีซึ่งเป็นคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่ง
ในฐานะคู่สัญญาย่อมมีอำนาจฟ้องสามีหรือภริยาผู้ตกลงยกทรัพย์ให้ทำการโอนทรัพย์สินนั้นให้แก่บุตรได้
ส่วนบุตรจะยอมรับ ทรัพย์สินหรือไม่เป็นเรื่องในชั้นบังคับคดี เพราะบันทึกที่ตกลงจะยกทรัพย์สินให้แก่บุตร
ซึ่งเป็นผู้ที่ไม่ใช่คู่สัญญา ในบันทึกข้อตกลงนั้น มีลักษณะเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ
ระหว่างสามีภริยาแล้ว ใช้บังคับได้ระหว่างสามีภริยาซึ่งเป็นคู่สัญญา
และในขณะเดียวกันหนังสือสัญญาหรือบันทึกข้อตกลงระหว่าง สามีภริยาที่จะยกทรัพย์สินให้
แก่บุตรไว้มีลักษณะเป็นสัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอกด้วย โดยมีสามีภริยาเป็นคู่สัญญา
และบุตรซึ่งถูกระบุไว้ว่าจะทำการยกทรัพย์สินให้เป็นบุคคลภายนอกที่จะได้รับประโยชน์จากสัญญา
ดังนั้นผู้ที่จะฟ้องเรียกบ้าน และที่ดินตามข้อตกลงได้ นอกจากจะเป็นสามีหรือภริยา
ที่เป็นคู่สัญญาโดยตรงแล้ว บุตรก็ย่อมมีสิทธิเรียกให้บิดาหรือ มารดาที่ทำข้อตกลงจะยกทรัพย์สินให้แก่ตน
ทำการโอนทรัพย์สิน ให้แก่บุตรเองได้โดยตรงเช่นกัน แต่บุตรจะต้องได้แสดงเจตนาแก่บิดา
หรือมารดาซึ่งเป็นลูกหนี้ตามสัญญา แล้วว่าตนจะถือเอาประโยชน์จากสัญญาดังกล่าว
และระยะเวลาในการฟ้องคดีต้องไม่เกิน 10 ปี นับตั้งแต่วันที่บุตรได้แสดงเจตนาแก่
ผู้ที่ตกเป็นลูกหนี้ในสัญญาว่าตนจะถือเอาประโยชน์ จากสัญญาแล้ว
สุกัญญา รัตนนาคินทร์
|