 |
ทรัพย์มรดกพระภิกษุ |
 |
|---|
ทาง
ออกของชีวิตมนุษย์คือ การบวชเพื่อสละทุกอย่างที่มนุษย์ปฏิบัติ มุ่งหาความสุขทางใจเป็นสำคัญ
โลกจะรุ่มร้อนมีเหตุการณ์รุนแรงก็ถือว่าเป็นปกติย่อมเกิดขึ้นได้
ใช้ชีวิตในสมณเพศแสวงหารสพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ปลีกวิเวกจากเรื่องทั้งปวง
ปัญหาหลายอย่างก็เป็นเรื่องของคนทางโลภ จ้องผจญต่อสู้กันไป
รัฐวุฒิได้กลับบ้านเพื่อดูอาการป่วยของพ่อที่อำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ หลังจากนั้นไม่นาน
เขาบวชอุทิศส่วนกุศลให้พ่อที่ถึงแก่กรรมและยังคงบวชต่อไป เมื่อครบกำหนดวันลาบวช
พร้อมกับยื่นใบลาออกจากอาชีพรับราชการ ด้วยมุ่งหวังที่จะหาความสุขแสวงหารสพระธรรมต่อไป
ขณะบวชเป็นพระภิกษุ จำพรรษาอยู่ที่วัดป่ามหาเจดีย์แก้ว(วัดล้านขวด) อยู่เขตสุขาภิบาล
อำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ และถึงแก่มรณภาพในปี พ.ศ. 2527
รวมเวลาอยู่ในสมณเพศไม่น้อยกว่า 3 ปีเต็ม
ศาลมีคำสั่งแต่งตั้งกาญจนา ภริยา เป็นผู้จัดการมรดกของสามี และในฐานะของผู้จัดการมรดก
เธอได้ยื่นคำร้องขอจดทะเบียนเปลี่ยนชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ของณัฐวุฒิในที่ดินจำนวน 3 แปลงๆ ละ 100 ตารางวา
อำเภอบางพลัด กรุงเทพมหานคร มูลค่าประมาณ 4 ล้านบาท ให้แก่ทายาทโดยธรรมของณัฐวุฒิ
แต่ได้รับการปฏิเสธจากกรมที่ดิน อ้างว่าทรัพย์ดังกล่าวตกได้แก่วัดที่เป็นภูมิลำเนาของพระภิกษุณัฐวุฒิ
กาญจนาในฐานะผู้จัดการมรดกจึงตัดสินใจฟ้องศาลอ้างว่า จำเลยโต้แย้งสิทธิโจทก์และทายาทอื่น
ทำให้ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนเปลี่ยนชื่อผู้ถือกรรมสิทธิในที่ดิน
โฉนดดังกล่าวมาเป็นชื่อของโจทก์และทายาททั้งสองเป็นเจ้าของร่วมกัน
จำเลยให้การว่าที่ดินทั้ง 3 แปลง เป็นทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างเวลาที่อยู่ในสมณเพศ
เมื่อพระภิกษุณัฐวุฒิได้มรณภาพในระหว่างเป็นพระภิกษุ โดยมิได้จำหน่ายที่ดินทั้ง 3 แปลง
ในระหว่างมีชีวิตอยู่หรือโดยพินัยกรรม ที่ดินดังกล่าวจึงต้องตกเป็นสมบัติของวัดป่ามหาเจดีย์แก้ว
ซึ่งเป็นภูมิลำเนาของพระภิกษุณัฐวุฒิ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 1623 จำเลยจึงไม่อาจจดทะเบียนให้โจทก์และบุคคลอื่นได้ ขอให้ยกฟ้อง
คดีถึงที่สุด ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าในปี พ.ศ. 2524
ระหว่างที่ณัฐวุฒิบวชเป็นพระภิกษุอยู่นั้น บริษัท วิโรจน์ จำกัด
มีหนังสือแจ้งให้ไปรับโอนที่ดินที่ได้ทำสัญญาเช่าซื้อกับบริษัท
และชำระเงินค่าที่ดินครบถ้วนแล้วในปี 2522 พระภิกษุณัฐวุฒิจึงได้มอบอำนาจให้โจทก์
ไปจัดการรับโอนที่ดินพิพาท และได้จดทะเบียนโอนใส่ชื่อณัฐวุฒิเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาททั้ง 3 แปลง
เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2524 ครั้น วันที่ 22 กรกฎาคม 2527 พระภิกษุณัฐวุฒิถึงแก่มรณภาพ
คดีนี้มีปัญหาในชั้นนี้ว่า ที่ดินพิพาทครึ่งหนึ่งซึ่งเป็นส่วนของณัฐวุฒิหรือพระภิกษุณัฐวุฒิเป็นทรัพย์สิน
ที่พระภิกษุณัฐวุฒิได้มาในระหว่างเวลาที่อยู่ในสมณเพศหรือไม่
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า แม้พระภิกษุณัฐวุฒิจะได้จดทะเบียนรับโอนที่ดินพิพาทที่เช่าซื้อมา
ในระหว่างที่อยู่ในสมณเพศก็ตาม แต่ได้ชำระค่าเช่าซื้อจนครบถ้วนแล้วก่อนที่จะมาบวชเป็นพระภิกษุ
ถ้าหากว่าผู้ให้เช่าซื้อไม่จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้ พระภิกษุณัฐวุฒิย่อมมีสิทธิเรียนให้ผู้เช่าซื้อโอนที่ดินพิพาทได้
จึงต้องถือว่าพระภิกษุณัฐวุฒิได้ที่ดินพิพาทมาแล้วก่อนที่จะบวชเป็นพระภิกษุ
การจดทะเบียนการได้มาภายหลังเป็นแต่เพียงทำให้การได้มาบริบูรณ์ตามที่กฎหมายบังคับไว้เท่านั้น
ฉะนั้น เมื่อที่ดินพิพาทมิใช่ทรัพย์สินที่พระภิกษุได้มาในระหว่างที่อยู่ในสมณเพศ
ที่ดินพิพาทครึ่งหนึ่งซึ่งเป็นส่วนของพระภิกษุณัฐวุฒิจึงไม่ตกเป็นสมบัติของวัด
หากแต่เป็นทรัพย์มรดกตกได้แก่บรรดาทายาทของพระภิกษุณัฐวุฒิ
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
ให้ใส่ชื่อโจทก์และบุตรทั้งสองร่วมกันเป็นเจ้าของที่ดินทั้ง 3 แปลง ดังกล่าว
ข้อมูล : เทียบเคียงคำพิพากษาฎีกาที่ 903/2536
ดุษฎี สนเทศ
(update 10 ตุลาคม 2005)
[ ที่มา...
หนังสือพิมพ์มติชน วันที่ 24 กันยายน 2548 ]
|