 |
ปัญหาทรัพย์มรดกผู้ตายมีสองเมีย |
 |
|---|
การสมรสก่อนปี 2473
ที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ใช้บังคับถือว่าเป็นสามีภริยาชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
และมีบุตรเกิดมาภายหลังถือว่าเป็นทายาทโดยธรรมมีสิทธิรับมรดกของบิดาหรือไม่
เพราะปรากฏว่าบิดาซึ่งเป็นเจ้ามรดกได้แต่งงานจดทะเบียนสมรสกับภริยาคนใหม่จนมีลูกหลายคนก่อนถึงแก่กรรม
บุตรอันเกิดจากภริยาเดิมมีสิทธิที่จะรับมรดกของบิดาแค่ไหนเพียงใด ให้ดูข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องๆ ไป
นายพูล คหบดีอำเภอดอนเจดีย์ จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นคนหนุ่มขยันขันแข็ง
แถมมีเรือกสวนไร่นาจากบิดาพอเลี้ยงชีพไปตลอดชีวิต สาวๆ ในละแวกนั้นและบริเวณใกล้เคียงต่างทอดไมตรี
หากได้รู้จักชายหนุ่มคนนี้
พูลให้ผู้ใหญ่ไปสู่ขอ นางสาวจำเริญ คนสวยลูกกำนันที่อำเภอป่าโมก จังหวัดอ่างทอง
จัดงานใหญ่โตตามประสาคนมีเงินก่อนปี พ.ศ.2473 มีทายาทหญิงชายรวมแล้ว 4 คน
จำเริญถึงแก่กรรมทิ้งพูลให้อยู่เดียวดายกับลูก พ.ศ.2484 พูลพบรักกับสาวสวยชื่อ นางสาวขวัญเรือน
ลูกสาวเศรษฐีอำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก เขาแต่งงานใหม่อีกครั้งจดทะเบียนสมรสตามกฎหมาย
และมีทายาทหญิงชายอีก 7 คน ตามประสาคนมีฐานะ
เขาครองรักกับภริยาคนใหม่อย่างมีความสุข แบ่งปันความรักให้ลูกทั้งสองแม่ไม่น้อยหน้ากัน
และถึงแก่กรรมลงเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2524 จึงเกิดปัญหาการฟ้องแบ่งทรัพย์สินในเวลาต่อมาเมื่อต้นปี 2536
นายสุพร บุตรชายคนโตและน้องๆ ทั้งสามเป็นโจทก์ฟ้องขวัญเรือนเป็นจำเลยให้แบ่งที่ดินมรดกให้แก่โจทก์ทั้งสี่คน
คนละ 4 ไร่ หรือคิดเป็นเงินคนละ 3,500,000 บาท หากไม่สามารถแบ่งได้ ให้เอาที่ดินมรดกดังกล่าวขายทอดตลาดเอาเงินแบ่งกัน
ขวัญเรือนสู้คดีอ้างว่าโจทก์มิได้เป็นทายาทของผู้ตาย ส่วนเธอแต่งงานกับผู้ตายจดทะเบียนสมรส
ตามเอกสารที่นำมากล่าวอ้าง ที่ดินทั้งสามแปลงรวมแล้ว 16 ไร่นั้นถือว่าเป็นที่ดินที่ได้มาระหว่างจำเลย
สมรสกับพูลผู้ตายย่อมตกเป็นกรรมสิทธิ์ของเธอ
คดีสู้กันถึงสามศาล
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยแบ่งที่ดินให้แก่โจทก์ตามฟ้อง จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า หลังจากเจ้ามรดกถึงแก่ความตายจำเลยได้แบ่งที่ดินซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยให้แก่โจทก์ที่ 2, 3
คนละ 2 งาน คงเหลือที่ดินพิพาท 4 แปลงซึ่งเป็นที่ดินที่ได้มาระหว่างจำเลยสมรสกับผู้ตาย
จำเลยให้การว่าโจทก์มิได้เป็นทายาทของผู้ตายเพราะสมรสกับจำเริญภายหลังใช้ประมวลกฎหมายแพ่งฯ
โดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสกันเท่ากับยอมรับว่าจำเริญเป็นภริยาและโจทก์เป็นบุตรของผู้ตายโดยมิได้นำสืบหักล้าง
ตามสำเนาทะเบียนบ้านโจทก์ที่ 1 เกิดในปี 2473 จึงเชื่อได้ว่าผู้ตายสมรสกับจำเริญมารดาโจทก์ก่อนปี 2473
ก่อนที่ประมวลกฎหมายแพ่งฯจะใช้บังคับประกอบกับจำเลยมิได้นำสืบหักล้าง
ผู้ตายกับจำเริญจึงเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ทั้งสี่ย่อมเป็นทายาทโดยธรรมของผู้ตาย
ฟ้องโจทก์ทั้งสี่ขาดอายุความตามฎีกาของจำเลยหรือไม่ ข้อนี้จำเลยฎีกาว่า
โจทก์ไม่ได้ฟ้องเรียกร้องเอาทรัพย์มรดกของผู้ตายภายในกำหนด 1 ปีนับแต่วันที่ผู้ตายถึงแก่ความตายนั้น
โจทก์เบิกความว่าโจทก์ทั้งสี่ตกลงให้จำเลยเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย
ซึ่งจำเลยตอบคำถามค้านของทนายโจทก์รับว่าจำเลยเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย
เมื่อพิเคราะห์ข้อนำสืบประกอบข้อเท็จจริงที่ฟังได้ว่าจำเลยได้ขายที่ดินแปลงหนึ่งนำเงินมาใช้จ่าย
ในการจัดการงานศพและแบ่งที่ดินปลูกบ้านให้แก่บุตรจำเลยและโจทก์ที่ 2, 3 คนละ 2 งาน
คดีจึงฟังได้ว่าทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของผู้ตายได้มีการตกลงให้จำเลยเป็นผู้จัดการมรดกแม้ว่า
ไม่มีคำสั่งตั้งจำเลยเป็นผู้จัดการมรดกมาแสดง เห็นว่า ทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกอาจตกลงตั้งผู้จัดการมรดกได้
โดยไม่จำต้องไปร้องขอให้ศาลแต่งตั้ง
ดังนั้น ที่จำเลยครอบครองทรัพย์มรดกของผู้ตายจึงเป็นการครอบครองแทนทายาทผู้มีสิทธิรับมรดก
แม้เกินกำหนด 1 ปีนับแต่วันที่ผู้ตายถึงแก่ความตาย โจทก์ทั้งสี่ก็ฟ้องขอให้จำเลยแบ่งทรัพย์มรดกของผู้ตายให้แก่โจทก์ทั้งสี่ได้
ฟ้องโจทก์ทั้งสี่จึงไม่ขาดอายุความ พิพากษายืน
ข้อมูล : เทียบเคียงคำพิพากษาฎีกาที่ 4720/2541
รศ.พิศิษฐ์ ชวาลาธวัช
(update 8 พฤศจิกายน 2005)
[ ที่มา...
หนังสือพิมพ์มติชน วันที่ 15 ตุลาคม 2548 ]
|