 |
มรดกลูกภริยาเก่า |
 |
|---|
ว่า
จะไม่มีปัญหาหากผู้เป็นสามีถึงแก่กรรม ภายหลังหย่าภริยาเก่าไปแต่งกับหญิงอื่นซึ่งถือว่าเป็นภริยาคนใหม่
จดทะเบียนสมรสถูกต้องตามกฎหมาย และต้องมีเหตุให้หย่ากันอีกครั้งหนึ่ง
ระหว่างนั้นก็ได้จดทะเบียนยกทรัพย์สินให้ลูกคนหนึ่ง ภายหลังหย่าอีก
ก่อนถึงแก่กรรมในปีถัดไปก็ได้ทำพินัยกรรมฝ่ายเมือง ยกบ้านให้กับลูกอีกคนหนึ่ง
อดีตภริยาคนล่าสุดจึงทวงสิทธิอันเป็นสินสมรสระหว่างอยู่กินฉันสามีภริยาเกิดมีทรัพย์สินขึ้นมา
ปัญหาอลวนจึงเกิดขึ้นว่าได้ใช้สิทธิตามที่กฎหมายบัญญัติไว้หรือไม่
นายพลชัย อาชีพนิติกรของบริษัทขายสินค้าประเภทเครื่องจักรจากต่างประเทศ
แต่งงานครั้งแรกกับเพื่อนที่เรียนหนังสือด้วยกันสมัยยังนุ่งกางเกงขาสั้น มีลูกเป็นสักขีพยานรัก 2 คน
เป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่ง และหย่าขาดจากภริยาคนแรกด้วยสาเหตุของความหึงหวงทะเลาะกันจนไม่อาจอยู่ด้วยกันได้
เขาตั้งหน้าตั้งตาเลี้ยงบุตรทั้งสองอย่างลำบาก
ในที่สุดเกิดชอบพอกับนางสาวจรินทร ข้าราชการกระทรวงศึกษาธิการ
ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกับครูของลูกๆ ด้วยความรักและความเข้าใจกันจึงจดทะเบียนสมรสอีกครั้งในปี 2525
ทั้งคู่อยู่ด้วยกันเหมือนกับสามีภริยาทั่วๆ ไป ทะเลาะกันบ้าง ขัดใจกันบ้าง หึงหวงกันบ้างถือเป็นเรื่องปกติ
ต่อมาเกิดขัดใจกันอย่างรุนแรงสาเหตุจากพลชัยจดทะเบียนให้ที่ดินแก่ลูกชายซึ่งเกิดจากภริยาคนแรกและโตเป็นหนุ่ม
เป็นการยกให้ในวันแต่งงานของบุตรชายในปี 2536
เขาได้จดทะเบียนหย่ากับจรินทรภริยาคนล่าสุดซึ่งไม่มีบุตรด้วยกันในปี 2537
ก่อนที่พลชัยจะถึงแก่กรรมในปลายปี 2537 ได้ทำพินัยกรรมฝ่ายเมืองยกบ้านที่อยู่กับจรินทรให้แก่บุตรสาว 1 หลัง
การฟ้องร้องจึงเป็นขึ้น
จรินทรเป็นโจทก์ฟ้องบุตรชายและบุตรสาวของพลชัยเป็นจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ตามลำดับ
อ้างว่าผู้ตายซึ่งเป็นอดีตสามียังมิได้ทำการแบ่งสินสมรส จำเลยทั้งสองเป็นทายาทของผู้ตาย
เป็นผู้ครอบครองทรัพย์สินดังกล่าวไว้ทั้งหมด จึงมีหน้าที่แบ่งปันสินสมรสให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง
โจทก์ได้ทวงถามหลายครั้งแต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยแบ่งสินสมรมให้แก่จำเลยครึ่งหนึ่ง
ราคาที่ดินแปลงหนึ่งตั้งอยู่ที่ถนนรามอินทรา เนื้อที่ 1 ไร่ คิดเป็นเงิน 4 ล้านบาท
บ้านหนึ่งหลังก่อสร้างบนที่ดินดังกล่าวมูลค่า 9 แสนบาท
หากไม่สามารถแบ่งปันกันได้ก็ให้นำมาประมูลระหว่างโจทก์จำเลย หรือนำออกขายทอดตลาดแบ่งกันคนละครึ่ง
หรือให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระราคาทรัพย์สินให้แก่โจทก์เป็นเงิน 2 ล้านสี่แสนห้าหมื่นบาท
จำเลยทั้งสองต่อสู้คดี ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 แบ่งบ้านให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง
และให้จำเลยที่ 1 แบ่งที่ดินให้แก่โจทก์ครึ่งหนึ่ง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1
นอกนั้นให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ทั้งสองฝ่ายฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่พลชัยบิดาของจำเลยทั้งสองได้ยกที่ดินให้แก่จำเลยที่ 1
โดยเสน่หาเป็นการจัดการสินสมรส โดยปกติต้องได้รับความยินยอมเป็นหนังสือของโจทก์ตามกฎหมาย
แต่กรณีนี้ไม่ได้รับความยินยอมของโจทก์ โจทก์มีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนการให้ภายในกำหนด 1 ปี
หรือภายใน 10 ปี
เมื่อโจทก์มิได้ฟ้องขอให้เพิกถอนการให้ที่ดินจึงยังเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1
จำเลยที่ 1 ไม่ได้ครอบครองในฐานะทายาทของผู้ตายซึ่งจะต้องมีหน้าที่แบ่งสินสมรสให้แก่โจทก์แทนผู้ตาย
เพราะเป็นการได้กรรมสิทธิ์เนื่องจากการได้รับการยกให้ จึงไม่มีหน้าที่แบ่งสินสมรสบิดาให้แก่โจทก์
ส่วนกรณีจำเลยที่ 2 ผู้ตายไม่มีสิทธิทำพินัยกรรมยกกรรมสิทธิ์ในบ้านอีกครึ่งหนึ่งซึ่งเป็นสินสมรส
และเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ พินัยกรรมจึงไม่มีผลผูกพันส่วนที่เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์
โจทก์มีสิทธิติดตามเอาคืนทรัพย์ส่วนที่เป็นกรรมสิทธิ์ของตนได้ โดยไม่มีกำหนดเวลาการใช้สิทธิ
คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องขอแบ่งบ้านอันเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับผู้ตายซึ่งเป็นอดีตสามีได้
โดยไม่ต้องฟ้องขอให้เพิกถอนพินัยกรรมของอดีตสามี
ข้อมูล : เทียบเคียงคำพิพากษาฎีกาที่ 3544/2542
รศ.พิศิษฐ์ ชวาลาธวัช
(update 8 พฤศจิกายน 2005)
[ ที่มา...
หนังสือพิมพ์มติชน วันที่ 8 ตุลาคม 2548 ]
|