 |
แบบไหนฟ้องเรียนค่าเลี้ยงดูบุตรได้ |
 |
|---|
สวัสดีครับท่านผู้อ่านที่เคารพ
เรื่องที่ผมจะนำมาเล่าในวันนี้เป็นเรื่องที่อยู่ไม่ไกลตัวท่านผู้อ่านเลยครับ ที่ผมกล่าวอย่างนี้ก็เพราะหากท่านได้ดูละครของไทย
ส่วนใหญ่ก็จะพบว่ามีเรื่องของการแย่งชิงมรดกของตระกูลใหญ่ๆ ไม่ว่าจะเป็นของหม่อมยา หม่อมยาย เจ้าคุณปู่
เจ้าคุณป้าอะไรต่างๆ เหล่านี้นะครับ ส่วนตระกูลเล็กๆ ทั่วๆ ไป ก็คงไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไร
ทั้งนี้ก็เนื่องจากไม่มีทรัพย์สินให้แย่งชิงกันนั่นเอง
สมัยเด็กๆ ผมดูหนังเหล่านี้ก็ให้นึกสงสัยอยู่ว่า ทำไมละครไทยจึงชอบเอาพล็อตเรื่องการแย่งชิงมรดกเข้ามาใส่ในละครกัน
หรือว่ามันจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยในสังคมของบ้านเราจนกลายเป็นความเคยชินไปแล้ว ผมยังเก็บความสงสัยนั้นไว้อยู่เสมอ
ตราบเมื่อโตขึ้นได้ทำงานมาสักระยะหนึ่งกลับยังความแปลกใจให้ผมว่ามากกว่าครึ่งหนึ่งของคดีที่ผมเคยทำมา
จะมีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเรื่องปัญหาครอบครัวและมรดกเกี่ยวข้องอยู่ด้วยเสมอ ไม่มากก็น้อย
ปัญหาเกี่ยวกับเรื่องครอบครัวและมรดกนั้น เป็นปัญหาที่แก้ยากกว่าปัญหากฎหมายด้านอื่นหลายเท่านัก
และต้องใช้ความพยายามเป็นสองเท่าในการแก้ปัญหาอื่นโดยทั่วไป
คำพูดนี้ไม่ใช่เป็นคำพูดที่ผมพูดเอง แต่เป็นคำพูดของอาจารย์ผมในวันที่ต้องเข้าไปแก้ปัญหา
เรื่องมรดกของตระกูใหญ่ตระกูลหนึ่งในประเทศไทย ซึ่งก็พบว่า เป็นความจริงเนื่องจากแต่ละฝ่ายจะใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล
จึงทำให้การแก้ปัญหายากกว่าเรื่องทั่วไปนั่นเอง
กลับมาถึงหัวข้อที่จะพูดถึงในคอลัมน์คราวนี้กันบ้างครับ ผมว่าท่านผู้อ่านคงเคยดูละครไทยมากันบ้างไม่มากก็น้อย
ซึ่งก็คงมีพล็อตเรื่องประมาณการแย่งชิงมรดกตามที่กล่าวมาข้างต้น ท่านผู้อ่านเคยลองสังเกตในบางเรื่องไหมครับ
ว่าบางทีพวกเจ้ามรดกทั้งหลายในเรื่องก็มีการตัดมรดากทายาทบางคนที่ไม่เป็นที่สบอารมณ์
เช่น ลูกสาวสุดที่รักของเจ้าคุณพ่อ อาจจะไปรักกับคนธรรมดาสามัญ เลยถูกตัดมิให้รับมรดกอะไรประมาณนี้ เป็นต้น
ในเรื่องการตัดมิให้รับมรดกนี้เจ้ามรดกสามารถทำได้ 2 ประการครับคือ
ทำพินัยกรรม
ทำเป็นหนังสือมอบไว้ให้กับพนักงานเจ้าหน้าที่ (ได้แก่ เจ้าพนักงานปกครอง)
การตัดมิให้รับมรดกนี้ต้องทำโดยชัดแจ้งและต้องระบุตัวทายาทให้ชัดเจนด้วยครับเช่น
ระบุในพินัยกรรม หรือหนังสือว่า ข้าพเจ้าขอตัด นางสาว ก บุตรของข้าพเจ้ามิให้ได้รับมรดก อย่างนี้เป็นต้น
แต่จะไปเขียนในทำนองตัดพ้อต่อว่า หรือบ่นน้อยใจเสียใจแต่มิได้มีข้อความตัดออกจากกองมรดกอย่างนี้
ยังไม่ถือว่าถูกตัดออกจากกองมรดกนะครับ
ในเรื่องการตัดออกจากกองมรดกก็มิได้มีเนื้อหาที่ยุ่งยากอะไรแค่ทำตามวิธีการที่กล่าวถึงข้างต้นก็เรียบร้อยแล้ว
แต่ที่อยากจะนำเสนอให้ท่านผู้อ่านทราบก็คือ การถูกกำจัดมิให้รับมรดกฐานเป็นผู้ไม่สมควร
ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่พวกเราไม่ค่อยจะรู้กัน ส่วนผู้สร้างละครคนใดได้อ่านคอลัมน์นี้จะมาเอาไปวางเป็นพล็อตเรื่องบ้าง
ก็ไม่สงวนลิขสิทธิ์กันครับ
หากข้อเท็จจริงปรากฏว่ามีทายาทคนใดกระทำการดังต่อไปนี้ไม่ว่าจะก่อนหรือหลังที่เจ้ามรดกถึงแก่ความตายก็ตาม
จะต้องถูกกำจัดฐานเป็นผู้ไม่สมควรได้รับมรดก ซึ่งมีอยู่ 5 ประเภท ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1606 ได้แก่
- ผู้ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดว่าได้เจตนากระทำ หรือพยายามกระทำให้เจ้ามรดก
หรือผู้มีสิทธิ์ได้รับมรดกก่อนตนถึงแก่ความตายโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ตามข้อนี้การทำให้ถึงแก่ความตายนั้น
จะต้องได้ความด้วยว่าเป็นการกระทำโดยเจตนา หากเป็นการกระทำโดยประมาทหรือไม่มีเจตนา
เช่น ลูกเผลอทำปืนลั่นไปถูกพ่อตัวเองตาย อย่างนี้ไม่ถือว่าจะถูกกำจัดมิให้ได้รับมรดก
- ส่วนที่ว่าทำให้ผู้มีสิทธิ์ได้รับมรดกก่อนตนถึงแก่ความตาย ก็เช่น นาย ก มีลูกชายคนหนึ่งคือ นาย ข
และมีนาย ค ซึ่งเป็นพี่ชายนาย ก และยังมีศักดิ์เป็นลุงของนาย ข อีกด้วย นาย ค มีความต้องการที่จะเอาสมบัติของนาย ก
น้องชาย จึงวางแผนที่จะฆ่า นาย ข วันหนึ่งนาย ค แกล้งปลอมเป็นโจรเข้าบ้านและยิงนาย ข ถึงแก่ความตาย
อย่างนี้ถือว่านาย ค ได้ฆ่านาย ข ซึ่งมีสิทธิ์ได้รับมรดกก่อนตนถึงแก่ความตาย จึงถือว่าเป็นผู้ที่ถูกกำจัดมิให้ได้รับมรดก
และยังถูกดำเนินคดีฐานฆ่าผู้อื่น โดยไตร่ตรองไว้ก่อนอีกด้วย
- ผู้ที่ได้ฟ้องเจ้ามรดกหาว่าทำความผิดโทษประหารชีวิตและตนเองกลับต้องคำพิพากษาถึงที่สุดว่า
มีความผิดฐานฟ้องเท็จหรือทำพยานเท็จ กรณียกตัวอย่างเช่น หลานฟ้องตาตัวเองว่าวางแผนฆ่าพ่อของตน
ซึ่งมีโทษประหารชีวิต แต่ปรากฏภายหลังว่า ศาลยกฟ้องเนื่องจากหลานใช้พยานเท็จและคุณตาได้ฟ้องกลับหลาน
จนศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าหลานมีความผิดฐานทำพยานเท็จ อย่างนี้หลานคนนี้ก็จะถูกกำจัดมิให้รับมรดกของคุณตา
- ผู้ที่รู้แล้วว่า เจ้ามรดกถูกฆ่าโดยเจตนา แต่มิได้นำข้อความนั้นขึ้นร้องเรียนเพื่อเป็นทางที่จะเอาผู้กระทำผิดมาลงโทษ
ในข้อนี้อาจจะคุ้นหูคุ้นตาท่านผู้อ่านบ้างตามข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ อาจเป็นเพราะว่าตนคงจะได้รับประโยชน์จากกองมรดกนั่นเอง
จึงแกล้งเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ซะ หรือว่าบางทีอาจจะมีส่วนรู้เห็นด้วยก็ได้
- อย่างไรก็ตามในข้อนี้ก็มีข้อยกเว้นอยู่ด้วย หากปรากฏว่าผู้ที่รู้นั้นยังมีอายุไม่ครบ 16 ปีบริบูรณ์
หรือเป็นคนวิกลจริตไม่สามารถรู้ผิดชอบ หรือถ้าผู้ที่ลงมือฆ่าเจ้ามรดกนั้นเป็นสามี ภริยา ผู้บุพการี
หรือผู้สืบสันดานาโดยตรง (ไม่รวมถึงบุตรบุญธรรม) ของผู้ที่รู้นั้น อย่างนี้หากผู้ที่รู้มิได้นำความขึ้นร้องเรียน
ก็ยังไม่ถือว่าถูกกำจัดมิให้รับมรดกฐานเป็นผู้ไม่สมควรครับ
- ผู้ที่ฉ้อฉลหรือข่มขู่ให้เจ้ามรดกทำหรือเพิกถอนหรือเปลี่ยนแปลงพินัยกรรมแต่บางส่วนหรือทั้งหมด
ซึ่งเกี่ยวกับทรัพย์มรดกหรือไม่ให้กระทำการดังกล่าวนั้น
- ผู้ที่ปลอม ทำลาย หรือปิดบังพินัยกรรมแต่บางส่วนหรือทั้งหมด
ในส่วนของการถูกกำจัดมิให้รับมรดกนี้เจ้ามรดกอาจถอนข้อกำจัดนี้ในภายหลังก็ได้ครับ
โดยสามารถให้อภัยไว้เป็นลายลักษณ์อักษรการถูกกำจัดก็จะสิ้นผลไป ฉบับนี้ผมขอลาไปก่อนสวัสดีครับ
ยุวสันต์ วิเวกเมธากร
(update 19 พฤศจิกายน 2005)
[ ที่มา...
นิตยสารบันทึกคุณแม่ เมษายน 2548 ]
|