 |
ฉ้อฉล |
 |
|---|
เรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างญาติพี่น้องเครือญาติ
ด้วยการแสดงเจตนาที่จะทำหน้าที่สำคัญภายหลังที่เจ้ามรดกซึ่งอาจอยู่ในฐานะใดฐานะหนึ่งกับผู้ร้องขอเป็นผู้จัดการมรดก
ตามที่ผู้นั้นกล่าวอ้างไว้ในคำร้อง และความจริงได้ถูกเปิดเผยในภายหลังระหว่างการพิจารณาคดีในชั้นศาล
ข้อเท็จจริงของความจริงนี่เองคือเครื่องบ่งบอกถึงความโลภหรือความเห็นแก่ตัวของมนุษย์
จนลืมความชอบธรรมที่คนอื่นได้รับผลกระทบ อาจรุนแรงหรือไม่เพียงใดขึ้นอยู่กับมูลค่าของทรัพย์มรดก
เมื่อคดีความเสร็จสิ้นลง คู่ความอาจไม่มองหน้ากันตลอดชีวิต อาจไม่เผาผีกัน
หรืออาจมีเรื่องรุนแรงยิ่งกว่านั้นดังที่เคยเป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ก็มีมาก
ทำไปเพื่ออะไร นี่คือคำถาม จึงขอยกอุทาหรณ์มาเล่าสู่กันฟังเพื่อเป็นบทเรียนของชีวิต
อาจเกิดขึ้นกับผู้ใด ครอบครัวใดก็ได้
นายผดุง คหบดี อำเภอป่าโมก จังหวัดอ่างทอง ย้อนยุคสู่อดีตภายหลังบวชเรียนสึกออกมา
ตั้งใจจะให้พ่อไปสู่ขอสาวงามอำเภอแสวงหาลูกสาวผู้ใหญ่บ้าน ความงามของเธอเลื่องลือข้ามจังหวัด
ผดุงช้าไปเส้นยาแดงผ่าแปด เพราะสาวงามรับหมั้นลูกชายผู้ใหญ่บ้านอีกอำเภอหนึ่ง
ตั้งแต่นั้นมาผดุงทำมาค้าขายทุ่มเทให้กับงาน ครองตัวเป็นโสด และล้มป่วยลงด้วยโรคหัวใจล้มเหลว
เสียชีวิตด้วยวัย 52 ปี ทิ้งมรดกมูลค่าหลายล้านให้ญาติพี่น้องจนเกิดปัญหาการฟ้องร้อง
และคัดค้านการเป็นผู้จัดการมรดกขึ้นในภายหลัง
นางผัสพรพี่สาวคนโตแม้ว่าจะออกเรือนไปแล้ว แต่ก็ดูแลทุกข์น้องชายคนนี้อย่างต่อเนื่อง
มาช่วงระยะสามปีก่อนผดุงเสียชีวิตเข้าออกโรงพาบาลบ่อยครั้ง
พี่สาวคนนี้จะทำหน้าที่รับส่งดูแลเอาใจใส่น้องชายไม่ให้ลำบาก
ประกอบกับบ้านอยู่ไม่ห่างไกลกันมากนัก
นางผิวนวลน้องสาวแต่งงานออกเรือนไปกับปลัดอำเภออยู่ในเมืองหลวง
มักจะแวะเวียนมาเยี่ยมพี่ชายหากรู้ว่าป่วยรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล
บางครั้งก็รับพี่ชายไปรักษาตัวที่ในกรุงเทพฯ โดยเฉพาะปัญหาอันเกิดจากตาของผดุงที่เริ่มจะฝ้าฟางไม่ปกติ
ภายหลังเสร็จสิ้นจากงานศพ เกิดปัญหาฟ้องร้องกันเพื่อขอเป็นผู้จัดการมรดกของผดุงผู้ตาย
ผัสพรพี่สาวได้ยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดก แต่ปรากฏว่าผิวนวลได้ยื่นคำร้องคัดค้านว่า
ผัสพรไม่ใช่ทายาทของผู้ตาย ทั้งนี้ผู้ตายได้ทำพินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมือง
ยกทรัพย์สินให้ผู้คัดค้านกับพวกแล้ว ขอให้ยกคำร้อง
ต่อมาผัสพรได้ยื่นคำร้องเป็นอีกคดีหนึ่งขอให้ตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของน้องชาย
และได้ยื่นคำร้องคัดค้านว่าพินัยกรรมที่ผู้ร้องนำมาอ้างเป็นโมฆะ
เพราะขณะทำพินัยกรรมเจ้ามรดกเป็นคนวิกลจริต เจ้ามรดกได้ทำพินัยกรรม
เพราะถูกกลฉ้อฉลหลอกลวงให้ไปรักษาตาและถูกหลอกให้พิมพ์ลายพิมพ์นิ้วมือ
เพื่อยินยอมให้หมอผ่าตาโดยไม่รู้ว่าเป็นพินัยกรรมขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้รวมการพิจารณาเข้าด้วยกันและพิพากษาให้ผัสพร
ซึ่งเป็นโจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของผดุงเจ้ามรดกแต่เพียงผู้เดียว ให้มีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมาย
จำเลยอุทธรณ์ทั้งสองสำนวน ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาทั้งสองสำนวน
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "...เมื่อพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งรูปคดีโดยละเอียดแล้วเชื่อได้ว่าจำเลยเป็นผู้ที่ฉ้อฉล
โดยให้ผดุงพี่ชายพิมพ์ลายมือในเอกสารพินัยกรรม จำเลยจึงถูกกำจัดมิให้รับมรดก
ฐานเป็นผู้ไม่สมควรตามกฎหมาย ทำให้จำเลยไม่สมควรเป็นผู้จัดการมรดก"
ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาต้องกันมาให้โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของผดุงผู้ตายนั้นชอบแล้ว
พิพากษายืน
ข้อมูล : เทียบเคียงคำพิพากษาฎีกาที่ 1642-1643/2530
รศ.พิศิษฐ์ ชวาลาธวัช
(update 9 ธันวาคม 2005)
[ ที่มา...
หนังสือพิมพ์มติชน 26 พฤศจิกายน 2548 ]
|