 |
ขอเป็นผู้จัดการมรดก |
 |
|---|
ครอบครัวใดมั่งคั่งสมบูรณ์มีลูกหลายคน ก่อนเจ้ามรดกจะเสียชีวิตมีเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นมากมาย
ในเรื่องส่วนแบ่งมรดกของบรรดาทายาท ความอิจฉาริษยาอาจเกิดขึ้นและนำไปสู่ความระแวงเกิดปัญหา
ที่เจ้ามรดกไม่พึงพอใจ การทำพินัยกรรมจึงอาจมีขึ้นได้เป็น 2 ฉบับ ครั้นเจ้ามรดกเสียชีวิตลงเกิดปัญหาว่า
พินัยกรรมฉบับไหนสมบูรณ์กันแน่ ประเด็นปัญหาซ้อนขึ้นมาว่าถ้าผู้ทำพินัยกรรมทำหนังสือตัดหางทายาทบางคน
มิให้รับมรดกตามพินัยกรรมฉบับหลัง สิทธิของทายาทที่ถูกตัดออกจากทรัพย์มรดกยังคงมีอยู่หรือไม่
ขอท่านติดตามดูเรื่องนี้
นายมั่งคั่ง ข้าราชการบำนาญฐานะดีตั้งแต่ต้นตระกูลหลายชั่วคน มีบุตรรวม 7 คน
ยังมีชีวิตอยู่ ภริยาชื่อนางพยอมเสียชีวิตไปก่อนหน้านี้แล้ว ถึงแก่กรรมเมื่อ 15 กันยายน 2527
ก่อนตายได้ทำพินัยกรรม 2 ฉบับ ฉบับแรกลงวันที่ 15 กรกฎาคม 2525
ยกทรัพย์มรดกให้ทายาทโดยธรรมทั้ง 7 คน ตั้งผู้จัดการมรดก 3 คน
ฉบับหลังเป็นพินัยกรรมเขียนเองทั้งฉบับ ลงวันที่ 15 พฤศจิกายน 2526
ยกทรัพย์มรดกให้แก่บุตรทั้ง 7 คน แบ่งเป็น 7 ส่วนเท่าๆ กัน และตั้งผู้จัดการมรดก 3 คน
ต่อมาวันที่ 3 มกราคม 2527 นายมั่งคั่งได้ทำหนังสือตัดบุตร 5 คนมิให้เป็นผู้รับมรดก
เกิดปัญหาว่าพินัยกรรมฉบับสมบูรณ์และผู้ใดเป็นผู้จัดการมรดก การคัดค้านเรื่องพินัยกรรม
และการร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกจึงเกิดขึ้นในศาล
คดีนี้ศาลวินิจฉัยว่า ผู้ร้องทั้งสองยื่นคำร้องว่านายมั่งคั่งมีบุตร 7 คน
คือ ผู้คัดค้านที่ 1 ผู้ร้องที่ 1 ผู้คัดค้านที่ 2 และบุตรคนอื่นๆ นายมั่งคั่งได้ทำพินัยกรรมฉบับแรก
ยกทรัพย์มรดกให้แก่บุตรซึ่งเป็นทายาทโดยธรรมทั้ง 7 คน และตั้งผู้ร้องทั้งสองและผู้คัดค้านที่ 2
เป็นผู้จัดการมรดก ต่อมานายมั่งคั่งได้ทำหนังสือตัดทายาทไม่ให้รับมรดก 5 คน
คือ ผู้คัดค้านที่ 1 ผู้คัดค้านที่ 2 และบุตรอีก 3 คน สาเหตุเพราะผู้คัดค้านทั้งสองในฐานะผู้จัดการมรดก
ของนางพยอมได้ยื่นฟ้องนายมั่งคั่งเรียกคืนสินสมรสระหว่างนายมั่งคั่งและนางพยอม
นายมั่งคั่งจึงโกรธผู้คัดค้านทั้งสอง
หลังจากนายมั่งคั่งถึงแก่กรรม ผู้ร้องที่ 1 และทายาทที่เหลือจึงเป็นผู้มีสิทธิรับมรดกตามพินัยกรรม
ขอให้ตั้งผู้ร้องทั้งสองเป็นผู้จัดการมรดก ผู้คัดค้านทั้งสองยื่นคำคัดค้าน
อ้างว่าพินัยกรรมที่ผู้ร้องทั้งสองอ้างมาไม่มีผลบังคับ เพราะถูกเพิกถอนโดยพินัยกรรมฉบับหลัง
ซึ่งระบุให้บุตรทั้ง 7 คนได้รับส่วนแบ่งเท่าๆ กัน และตั้งผู้คัดค้านทั้งสองและผู้ร้องที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดก
นายมั่งคั่งไม่เคยทำหนังสือตัดทายาททั้งห้าไม่ให้รับมรดก หากมีหนังสือตัดทายาทก็เป็นเอกสารปลอม
จึงไม่มีผลบังคับตามกฎหมาย ผู้ร้องทั้งสองจึงไม่มีสิทธิร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกตามพินัยกรรมฉบับที่ถูกเพิกถอน
ขอให้ศาลตั้งผู้คัดค้านทั้งสองเป็นผู้จัดการมรดก และให้ยกคำร้องของผู้ร้องทั้งสอง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ผู้คัดค้านทั้งสองถูกเจ้าของมรดกตัดมิให้รับมรดก
ส่วนผู้ร้องที่ 2 มิใช่ทายาทโดยธรรมของนายมั่งคั่ง และพินัยกรรมฉบับหลังสุดมิได้ตั้งผู้ร้องที่ 2
เป็นผู้จัดการมรดก มีคำสั่งแต่งตั้งผู้ร้องที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกให้มีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมาย
จึงให้ยกคำร้องของผู้ร้องที่ 2 และคำคัดค้านทั้งสอง ผู้ร้องที่ 2 และผู้คัดค้านทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ผู้ร้องที่ 2 ฎีกา คงมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องที่ 2 เพียงว่า
นายมั่งคั่งขณะทำพินัยกรรมฉบับหลังมีสติสัมปชัญญะหรือไม่ ได้ตรวจดูพินัยกรรมตามเอกสารที่กล่าวอ้างแล้ว
เห็นว่า ลักษณะการเขียน ตัวอักษร ข้อความต่างๆ ในพินัยกรรมดังกล่าวไม่มีตอนใดผิดปกติที่จะแสดงให้เห็นว่า
ผู้เขียนมีสติสัมปชัญญะไม่สมบูรณ์แม้ขีดฆ่าข้อความใดได้เซ็นชื่อกำกับไว้ด้วย
ผู้ร้องที่ 2 ไม่อาจนำพยานหลักฐานมาสืบให้สมตามข้ออ้าง
จึงไม่มีน้ำหนักที่จะให้รับฟังหักล้างข้อความในพินัยกรรมฉบับหลัง
และมีผลสมบูรณ์เพิกถอนพินัยกรรมฉบับแรกที่ตั้งผู้ร้องที่ 2 เป็นผู้จัดการมรดก
เมื่อปรากฏว่าผู้ร้องที่ 2 มิได้เป็นทายาทหรือผู้มีส่วนได้เสียเกี่ยวกับทรัพย์มรดกของนายมั่งคั่ง
จึงไม่มีสิทธิร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของนายมั่งคั่งได้ จึงพิพากษายืน
ข้อมูล : เทียบเคียงคำพิพากษาฎีกาที่ 339/2534
รศ.พิศิษฐ์ ชวาลาธวัช
(update 23 มิถุนายน 2005)
[ ที่มา...
หนังสือพิมพ์มติชน วันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2548 ]
|