 |
โต้แย้งสิทธิรับมรดก |
 |
|---|
คนมีชีวิตก็ตายไปแล้ว คนที่อยู่ข้างหลังก็ต้องทวงสิทธิในทรัพย์มรดกตามธรรมเนียมสิทธิในทรัพย ์
กลายเป็นประเด็นโต้แย้งไม่รู้จบตราบใดที่มนุษย์ยังเชื่อในเรื่อง "สิทธิ"
ลูกชายของผู้วายชนม์รู้ว่าพ่อไม่ได้ตั้งผู้ใดเป็นผู้จัดการมรดก อาจเป็นเพราะพ่อมีลูกคนเดียว
ราคาทรัพย์ไม่กี่ล้านบาท จึงร้องศาลเพื่อขอให้ตั้งผู้จัดการมรดกจะได้โอนเป็นของลูก
ภายหน้าจะทำนิติกรรมใดๆ จะได้ไม่มีปัญหา แต่ไม่ง่ายเหมือนที่คิดเกิดมีญาติอ้างว่าทรัพย์มรดกไม่ใช่ของผู้ตาย
แต่เป็นของพี่ร่วมบิดามารดาเดียวกันกับผู้คัดค้าน เรื่องจะลงเอยกันยังไงลองตามดู
สิริถึงแก่กรรมด้วยวัยชรา ทิ้งมรดก คือ บ้าน 1 หลัง ที่ดินหนึ่งแปลงมูลค่าห้าล้านบาทไว้ให้ลูกชาย
สิโรจน์ไปขอโอนทรัพย์ดังกล่าวในฐานะเป็นทายาท แต่เจ้าหน้าที่อ้างว่าแค่ใบมรณบัตร
ยังไม่เพียงพออาจมีปัญหาเกิดขึ้นภายหลังได้ แนะนำให้ไปเอาคำสั่งศาลมาแสดงสิโรจน์
จึงยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของบิดา เขาคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาไม่น่าจะมีใครมาคัดค้าน
แม่ก็เสียชีวิตไปก่อนพ่อ พี่หรือน้องก็ไม่มี
เขาให้เป็นงงเพราะหลังจากเขายื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดก กนกญาติห่างๆ
ยื่นคำร้องคัดค้านว่าทรัพย์มรดกที่อ้างถึงนั้นเป็นของนางเจียมพี่ร่วมบิดา
มารดาเดียวกันกับผู้คัดค้าน หาใช่ทรัพย์ของผู้ตายไม่ จึงขอให้ศาลช่วยให้ความเป็นธรรมด้วย
และขอให้ยกคำร้องของผู้ร้อง ตั้งผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกในทรัพย์นั้น
ศาลขั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่าคำร้องคัดค้านของผู้คัดค้านไม่เกี่ยวกับคำร้องเดิม
ที่ขอให้ตั้งผู้จัดการมรดกของนายสิริผู้ตาย แต่เป็นเรื่องที่ขอให้ตั้งผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกของผู้อื่น
แม้ว่าผู้คัดค้านจะอ้างว่าทรัพย์สินตามคำร้องเป็นของผู้อื่นก็เป็นเรื่องที่จะว่ากล่าวกันต่างหากอีกเรื่องหนึ่ง
ผู้คัดค้านไม่มีส่วนได้เสียในคดีนี้ให้ยกคำร้องของผู้คัดค้าน แปลว่านายกนกจะคัดค้าน
ไม่ให้สิโรจน์เป็นผู้จัดการมรดกก็อ้างเหตุศาลจะพิจารณาให้ แต่การโต้แย้งสิทธิว่าไม่ใช่ทรัพย์ของผู้ตาย
เป็นอีกประเด็นหนึ่งไม่เกี่ยวกับการที่ผู้ร้องขอให้ศาลตั้งเป็นผู้จัดการมรดก
นายกนกผู้คัดค้านยังค้างคาใจจึงอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า
คดีนี้ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของนายสิริผู้ตาย
ผู้คัดค้านไม่ใช่ทายาทของผู้ตาย ไม่มีสิทธิในทรัพย์มรดกของผู้ตาย
นายกนกจะมายุ่งอะไรกับเขาก็คงจะไม่ได้
ทั้งนี้ ทรัพย์ที่ผู้ร้องระบุมาในคำร้องว่าเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตายนั้น
แม้จะฟังว่าไม่เป็นความจริงก็จะถือว่าผู้คัดค้านมีส่วนได้ส่วนเสียในคดีนี้ไม่ได้ก็จริงอยู่
เพราะหากไม่เป็นความจริงก็เป็นการโต้แย้งสิทธิของผู้คัดค้าน
เพียงแต่ว่าผู้คัดค้านชอบที่จะไปดำเนินคดีต่างหากจากคดีนี้
ไม่มีสิทธิที่จะให้ศาลยกคำร้องของผู้ร้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน นายกนกฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยคดีชอบแล้ว ฎีกาผู้คัดค้านฟังไม่ขึ้น
ข้อมูล : เทียบเคียงคำพิพากษาฎีกาที่ 3719/2533
รศ.พิศิษฐ์ ชวาลาธวัช
(update 23 มิถุนายน 2005)
[ ที่มา...
หนังสือพิมพ์มติชน วันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2548 ]
|