 |
จัดการมรดกยังไม่เสร็จ |
 |
|---|
พี่น้อง
เกิดมาท้องเดียวกันใช่ว่าจะพูดจากันรู้เรื่อง โดยเฉพาะการแบ่งทรัพย์มรดกที่มีการโอนขายระหว่างทายาท
ภายหลังบิดาเจ้ามรดกถึงแก่กรรม หากผู้จัดการมรดกไม่อธิบายถึงสิทธิของทายาทแต่ละคนให้เป็นที่เข้าใจ
ทายาทบางคนอาจฟ้องทั้งผู้จัดการมรดกและฟ้องขอให้มีการเพิกถอนการซื้อขายทรัพย์มรดกของผู้ตายได้
ฟ้องกันไปใช่ว่าจะมองหน้ากันสนิทนัก ไม่ฟ้องรึไม่อาจทำใจได้ว่าสิทธิของลูกทายาทคนหนึ่ง
ถูกทายาทบางคนร่วมมือกันยักยอกหรือไม่
พี่น้องครอบครัวนี้มีอยู่ด้วยกัน 5 คนมีชีวิตทุกคน ครั้นบิดาชื่อนายปัญญา เสียชีวิตลงด้วยวัยชรา
ก่อนเกษียณอายุบิดารับราชการที่กระทรวงศึกษาธิการ มีทรัพย์มรดกที่ดินพร้อมบ้านตั้งอยู่ที่เขตลาดพร้าว
กรุงเทพฯ มูลค่ารวมกัน 2,000,000 บาท
ปัญญาผู้เป็นสามีเสียชีวิต พ.ศ.2522 จินดาภริยาเสียชีวิต พ.ศ.2535
สามีภริยาคู่นี้ร่วมกันก่อร่างสร้างตัวเลี้ยงลูกถึง 5 คน ภายหลังปัญญาเสียชีวิตมีหนี้สินกับธนาคารเหลือเพียง 200,000 บาท
โดยมีที่ดินและบ้านดังกล่าวจดทะเบียนจำนองไว้ ทายาททั้งหลายจึงตกลงใจให้นางจุรีพี่สาวคนโตเป็นผู้จัดการมรดก
และนายจรัลชำระหนี้ไถ่ถอนจำนองจากธนาคารและรับซื้อบ้านในราคา 1,800,000 บาท
ภายหลังแม่เสียชีวิตสองปี จรัลขับไล่น้องชายชื่อนายจุรินทร์ออกจากบ้านหลังนั้นที่อยู่ด้วยกันมาดั้งเดิม
จุรินทร์ไปตรวจสอบที่สำนักงานที่ดินว่าไม่มีชื่อของเขาในโฉนดรวมถึงทายาทคนอื่น
จึงได้บอกกล่าวให้ทั้งจุรีและจรัลจดทะเบียนใส่ชื่อทายาททุกคนเป็นผู้รับมรดกของพ่อ แต่ทั้งสองเพิกเฉย
จุรินทร์จึงฟ้องศาล ขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนรับโอนที่ดินมรดกและเพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดินระหว่างจุรีและจรัล
ให้จุรีในฐานะผู้จัดการมรดกแบ่งทรัพย์มรดกดังกล่าวให้โจทก์ตามสิทธิ 1 ใน 5 ส่วน หากไม่สามารถจดทะเบียนแบ่งให้โจทก์ได้
ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 389,000 บาท
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยทั้งสองได้ทำตามข้อตกลงร่วมกันไถ่ถอนจำนองจากธนาคาร
และขายบ้านให้จรั,จำเลยที่ 2 ในราคา 1,800,000 บาท พ.ศ.2532 และได้แบ่งปันเงินระหว่างทายาทรวมทั้งโจทก์ด้วย
ถือว่าการจัดการมรดกเสร็จสิ้นตั้งแต่วันจดทะเบียนโอนขายดังกล่าว โจทก์ฟ้องเกินกว่า 5 ปี
นับแต่การจัดการมรดกเสร็จสิ้น จึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ที่สุดศาลฏีกาวินิจฉัยว่า ตามรายการจดทะเบียนหลังสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารที่อ้างจำเลยที่ 1
ในฐานะผู้จัดการมรดกได้จดทะเบียนโอนบ้านและที่ดินพิพาทแก่จำเลยที่ 1 ในนามจำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดก
แต่ก็ยังไม่อาจถือได้ว่าเป็นการแบ่งทรัพย์มรดกให้แก่ทายาทเสร็จสิ้น
ที่กระทำเช่นนั้นเพื่อความสะดวกที่จะขายเพื่อนำเงินมาแบ่งปันกัน
ดังนั้น การจัดการมรดกจะเสร็จสิ้นก็ต่อเมื่อได้แบ่งเงินราคาขายกันแล้ว
ในเมื่อโจทก์เบิกความยอมรับว่ายังไม่ได้แบ่งเงินราคาขายแก่ทายาท
การจัดการมรดกจึงไม่เสร็จสิ้น ฟ้องไม่ขาดอายุความ
ที่โจทก์อ้างว่าจำเลยทั้งสองเบียดบังยักยอกทรัพย์มรดกยังรับฟังไม่ได้
เพราะเป็นเรื่องซื้อขายทรัพย์มรดกกันตามปกติธรรมดาโดยมีหลักฐานตามเอกสารที่ว่า
จำเลยที่ 2 ต้องไปกู้เงินจากองค์การโทรศัพท์ฯ ต้นสังกัดของจำเลยที่ 2 จำนวน 1,800,000 บาท
เพื่อนำมาชำระราคาค่าซื้อบ้านและที่ดินพิพาทแล้วนำมาบ้านและที่ดินพิพาทจำนองเจ้าหนี้ไว้เป็นประกัน
รวมถึงมีเหตุให้เชื่อตามที่จำเลยทั้งสองเบิกความรับกันว่าจินดาซึ่งเป็นมารดาผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวรู้เห็นยินยอมในการซื้อขายโดยตลอด
เมื่อการซื้อขายเป็นไปโดยชอบ ศาลก็ไม่อาจสั่งเพิกถอนได้ และเมื่อทรัพย์มรดกตกไปเป็นของผู้ซื้อแล้ว
ก็ไม่เป็นทรัพย์มรดกที่โจทก์จะขอให้ใส่ชื่อโจทก์ร่วมด้วยได้ โจทก์คงมีสิทธิได้รับส่วนแบ่ง
จากเงินค่าขายทรัพย์มรดกจำนวน 360,000 บาท จากจำเลยที่ 1 เท่านั้น จำเลยที่ 2 ไม่ใช่ผู้จัดการมรดก
ไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ฏีกาของโจทก์ฟังขึ้นเพียงบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 360,000 บาทแก่โจทก์
นอกนั้นให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
ข้อมูล: เทียบเคียงคำพิพากษาฎีกาที่ 5265/2539
ร.ศ.พิศิษฐ์ ชวาลาธวัช
(update 7 กันยายน 2005)
[ ที่มา...
หนังสือพิมพ์มติชน วันที่ 20 สิงหาคม 2548 ]
|