 |
อำนาจผู้จัดการมรดก |
 |
|---|
การ
จัดการทรัพย์มรดกของผู้เสียชีวิตเป็นเรื่องของกฎหมายกำหนดไว้ มิได้หมายความว่า
หากทำหน้าที่สมบูรณ์จะให้เป็นที่พึงพอใจของทุกฝ่ายก็หาไม่
กรณีขายทรัพย์มรดกของผู้ตายอาจเกิดความไม่พึงพอใจให้กับผู้มีส่วนได้เสีย
หรือทายาทของผู้ตายย่อมเกิดขึ้นได้ระหว่างมารดาของสามีและลูกสะใภ้ในฐานะผู้จัดการมรดก
มารดาในฐานะทายาทของผู้ตายอาจฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมสาเหตุเพราะมิได้แบ่งปันทรัพย์มรดก
ที่ขายไปให้แก่ทายาท หรืออาจอ้างเหตุผลว่าไม่ได้รับความเห็นชอบจากมารดาเจ้ามรดก
ศาลจะพิพากษาตามฟ้องหรือไม่ ให้ดูข้อเท็จจริงอื่นประกอบเป็นสำคัญ
นายสุทธิรักษ์ พ่อค้าใหญ่นำเข้าถึงแก่กรรมด้วยโรคหัวใจ ภริยาชื่อนางวลับ มีทายาทด้วยกันสี่คน
ผู้ชายเป็นคนโตชื่อนายสุทธิพันธุ์และน้องสาวอีก 3 คน จดทะเบียนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง
เป็นอาคารพาณิชย์ย่านหัวลำโพงจำนวนสี่ห้องให้ลูกชายคนโตปัจจุบันอาคารแห่งนี้ทำธุรกิจสายส่งหนังสือพิมพ์และสิ่งพิมพ์
นายสุรวดี แม่สามีไม่พอใจจึงฟ้องบุคคลทั้งสองเป็นจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ตามลำดับ
ขอให้เพิกถอนนิติกรรมโอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง ต่อมาจำเลยที่ 2 ตกลงจะโอนที่ดินกลับคืนให้จำเลยที่ 1
ตามสัญญาประนีประนอมยอมความกันภายใน 30 วันนับแต่วันที่ศาลได้พิพากษาตามยอม
แต่จำเลยที่ 1 และที่ 2 มิได้ปฏิบัติตามคำพิพากษา จำเลยที่ 1 ในฐานะส่วนตัวในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตาย
และผู้แทนโดยชอบธรรมของลูกสาวสามคนกับจำเลยที่ 2 ไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา แต่กลับสมคบกับจำเลยที่ 3
นำที่ดินพิพาทขายให้แก่จำเลยที่ 3 โดยไม่มีสิทธิที่จะทำได้ เพราะโจทก์อยู่ในฐานะอันจะจดทะเบียนสิทธิได้ก่อน
การที่จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้ปกครองของลูกซึ่งเป็นผู้เยาว์ขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 3
โดยมิได้รับอนุญาตจากศาล ย่อมทำให้นิติกรรมดังกล่าวตกเป็นโมฆะ
เพราะเป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย ขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินพิพาท
และให้จำเลยทั้งสามโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตาย
จำเลยทั้งสองให้การว่า ทายาทของผู้ตายได้ประชุมและมีมติให้ขายที่ดินพิพากให้แก่ผู้ซื้อโดยมิต้องให้จำเลยที่ 2
จัดการโอนใส่ชื่อจำเลยที่ 1 ก่อน โจทก์ทราบแล้วแต่ไม่ยอมเข้าร่วมประชุม ต่อมาได้ขายที่ดินพิพาท
และจดทะเบียนโอนให้แก่จำเลยที่ 3 โดยตรง การกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นการกระทำโดยสุจริต ขอให้ยกฟ้อง
ที่สุดศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงข้างต้น นอกจากจำเลยที่ 1 จะเป็นทายาทและเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของบุตรผู้เยาว์
ยังเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายด้วย ก่อนจำเลยที่ 1 จะขายที่ดินพิพาทได้เรียกประชุมทายาท
รวมทั้งนายสกลผู้แทนของโจทก์เข้าร่วมประชุมหารือในครั้งนี้ด้วย
ที่ประชุมมีมติเอกฉันท์ ให้ผู้จัดการมรดกดำเนินการนำที่ดินพิพาท
จัดการหาประโยชน์เข้ากองมรดกต่อไปตามเอกสารที่อ้างมา รวมถึงหลักฐานที่จำเลยที่ 1
ได้แบ่งปันเงินที่ได้แก่ทายาทตามส่วน ส่วนของโจทก์ได้ฝากธนาคารไว้
ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ขายที่ดินพิพาทไปในขอบเขตอำนาจของฐานะผู้จัดการมรดก
ไม่ใช่ในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรมของบุตรผู้เยาว์แต่เป็นเรื่องของผู้จัดการมรดกขายทรัพย์มรดก
ซึ่งจะนำประมวลกฎหมายแพ่งพาณิชย์ มาตรา 1574 มาบังคับใช้ไม่ได้
นิติกรรมซื้อขายที่ดินพิพาทไม่เป็นโมฆะ
ส่วนกรณีที่จำเลยที่ 2 ยังไม่ได้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทคืนจำเลยที่ 1 ตามสัญญาและคำพิพากษาตามยอม
เห็นว่า คำพิพากษานั้นย่อมผูกพันคู่ความในคดี แม้จะยังไม่ได้โอนใส่ชื่อจำเลยที่ 1
ในฐานะผู้จัดการมรดกถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดนั้นก็ตาม ก็ถือได้ว่าที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดก
อยู่ในอำนาจที่ดินของผู้จัดการมรดกที่จะต้องจัดการแบ่งปันแก่ทายาทด้วยตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1719
ถือว่าจำเลยที่ 1 มีอำนาจกระทำได้โดยไม่ต้องรับความยินยอมจากทายาทก่อนจำเลยที่ 1
ย่อมมีอำนาจโอนขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 3
พิพากษายืนตามศาลล่างทั้งสอง
ข้อมูล : เทียบเคีบงคำพิพากษาฎีกาที่ 6595/2539
ร.ศ.พิศิษฐ์ ชวาลาธวัช
(update 7 กันยายน 2005)
[ ที่มา...
หนังสือพิมพ์มติชน วันที่ 13 สิงหาคม 2548 ]
|