 |
รู้รอบเรื่องกฎหมายเครื่องสำอาง |
 |
|---|
ท่าน
ผู้อ่านที่เคารพครับ มีสุภาษิตโบราณกล่าวว่า ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง
คำพูดนี้คงจะไม่ได้กล่าวไว้เกินจริงเป็นแน่แท้ ยิ่งโดยเฉพาะคุณผู้หญิงแล้วคงทราบดีว่า
การแต่งตัวแต่งหน้าหรือการเสริมสวยต่างๆ ถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง
ประการหนึ่งก็เพื่อให้มีบุคลิกลักษณะที่ดูแล้วดีในสายตาของบุคคลภายนอก
อันเป็นการเพิ่มความมั่นใจในตนเอง อีกประการหนึ่งที่สำคัญสำหรับคุณผู้หญิงที่กำลังมีความรักอยู่
การแต่งตัวให้สวยงามก็จะเป็นการช่วยทำให้คนที่อยู่กับเรานั้นพลอยรู้สึกสดชื่นมีชีวิตชีวาไปด้วยใช่ไหมครับ
ในบรรดาเครื่องเสริมความงามของสตรีนั้น เครื่องสำอางถือว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในแถวหน้า
ของบรรดาเครื่องสำอางเสริมความงามทั้งหลาย ปัจจุบันนี้ในประเทศไทยของเรามีการใช้เครื่องสำอางกันเป็นจำนวนมาก
ซึ่งก็มีทั้งยี่ห้อชื่อดังจากต่างประเทศ และที่ผลิตภายในประเทศก็มีอยู่ไม่ใช่น้อย
การผลิตเครื่องสำอางขายในประเทศของเราจึงมีการแข่งขันกันสูงทั้งในเรื่องราคา คุณภาพ แบรนด์
หรือของแถมต่างๆ
การผลิตเครื่องสำอางออกมาเป็นจำนวนมากนั้น จะเป็นที่ทางการจะต้องเข้ามาควบคุมด้วย
เนื่องจากเครื่องสำอางเป็นผลิตภัณฑ์ที่จะต้องมีการใช้กับร่างกายของมนุษย์ หากการผลิตไม่ได้มาตรฐาน
หรือผลิตมาไม่ตรงกับที่โฆษณาไว้ผลเสียย่อมเกิดกับประชาชนผู้บริโภคอย่างแน่นอน
ดังนั้นในคอลัมน์ฉบับนี้ผมจะพาท่านผู้อ่านไปทำความรู้จักกับประเภทของเครื่องสำอางตามที่กฎหมายกำหนด
ข้อกำหนดการแสดงฉลากเครื่องสำอางรวมไปถึงบทลงโทษของผู้ที่ทำการฝ่าฝืนด้วย
เครื่องสำอางตามที่กฎหมายกำหนดนั้นแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทได้แก่
1. เครื่องสำอางควบคุมพิเศษ ได้แก่ เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของสารที่อาจเป็นอันตรายต่อร่างกายได้
ยกตัวอย่างเช่น ยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ ซึ่งมีส่วนผสมของโซเดียมฟลูออไรด์ซึ่งต้องแสดงปริมาณของสารดังกล่าว
รวมทั้งต้องระบุว่า เป็นเครื่องสำอางควบคุมพิเศษ และต้องมีเลขทะเบียนเครื่องสำอางด้วย
2. เครื่องสำอางควบคุม ได้แก่ เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของสารที่ไม่ได้เป็นอันตรายมาก
เช่น แชมพูผสมสารขจัดรังแค ที่มีส่วนผสมของสาร zinc pyrithion, silicone เครื่องสำอางประเภทนี้ต้องระบุว่า
เป็นเครื่องสำอางควบคุมด้วยแต่ไม่จำเป็นต้องแสดงเลขทะเบียบเครื่องสำอางบนแผ่นฉลาก
3. เครื่องสำอางทั่วไป ได้แก่ เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมไม่ได้เป็นอันตรายต่อผิว
เช่น vegetable glycerin, glyceryl state ซึ่งจะพบในประเทศครีมบำรุงผิวหน้า
เครื่องสำอางประเภทนี้ไม่ต้องระบุข้อความว่าเป็นเครื่องสำอางควบคุม และไม่ต้องแสดงเลขทะเบียนบนฉลากด้วย
เครื่องสำอางนี้ส่วนมากจะเป็นสินค้ามียี่ห้อ เช่น avon laura เป็นต้น
สำหรับข้อกำหนดในการแสดงฉลากเครื่องสำอางนั้น เครื่องสำอางทุกประเภท ทุกชนิด
ทุกชิ้นจะต้องเป็นความจริงและไม่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในผลิตภัณฑ์ที่ใช้
หากไม่เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนดแล้ว ผู้ผลิต ผู้นำเข้า ผู้ขายเครื่องสำอาง
รวมทั้งผู้รับจ้างทำฉลาก หรือผู้รับจ้างตรึงฉลากต้องมีโทษด้วย
ซึ่งหลักเกณฑ์ปรากฏอยู่ในพระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ.2535 ซึ่งผมจะสรุปมาตราสำคัญๆ
ให้ท่านผู้อ่านได้ทราบกัน
ในมาตรา 56 ของพระราชบัญญัติดังกล่าว กำหนดบทลงโทษสำหรับความผิดในเรื่องฉลากคือ
1. เจตนาก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในแหล่งกำเนิด สภาพ คุณภาพ ปริมาณ
หรือสาระสำคัญเกี่ยวกับเครื่องสำอาง (ไม่ว่าจะเป็นเครื่องสำอางของตนเองหรือผู้อื่น)
2. ใช้ฉลากที่มีข้อความอันเป็นเท็จ หรือข้อความที่รู้ หรือควรรู้อยู่แล้วว่าอาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในแหล่งกำเนิด
สภาพ คุณภาพ ปริมาณ หรือสาระสำคัญเกี่ยวกับเครื่องสำอาง
ผู้กระทำความผิดมีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 30,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
และหากกระทำความผิดซ้ำอีกภายใน 6 เดือน นับแต่วันกระทำความผิดครั้งก่อน ต้องระวางโทษเป็น 2 เท่า
คือ จำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ มาตรา 57 แบ่งเป็น 2 กรณีคือ
1.ผู้ขายที่ขายเครื่องสำอางโดยไม่มีข้อความฉลากภาษาไทยตามที่กำหนด หรือการแสดงฉลากนั้นไม่ถูกต้อง
หรือขายเครื่องสำอางที่คณะกรรมการเครื่องสำอางสั่งเลิกใช้ฉลากนั้นแล้ว ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน
หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่ในกรณีที่กระทำไปโดยประมาท ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท
2. ผู้ผลิตเพื่อขายหรือผู้นำเข้าเพื่อขาย ที่ขายเครื่องสำอางโดยไม่มีข้อความฉลากภาษาไทยตามที่กำหนด
หรือการแสดงฉลากนั้นไม่ถูกต้อง หรือขายเครื่องสำอางที่คณะกรรมการเครื่องสำอางสั่งเลิกใช้ฉลากนั้นแล้ว
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 30,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 58 ผู้ใดรับจ้างทำฉลากที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย หรือรับจ้างติดตรึงฉลากที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
โดยรู้หรือควรรู้อยู่แล้วว่าฉลากดังกล่าวนั้นไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท
มาตรา 63 เครื่องสำอางที่ฉลากแจ้งแหล่งผลิตปลอม รวมทั้งภาชนะบรรจุ ฉลาก
และอุปกรณ์สำหรับใช้กับเครื่องสำอางดังกล่าวให้ริบเสียทั้งสิ้น ไม่ว่าจะมีผู้ถูกลงโทษตามคำพิพากษาหรือไม่
และของที่ริบให้ส่งมอบแก่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาเพื่อจัดการตามระเบียบของกระทรวงสาธารณสุขต่อไป
จะเห็นได้ว่ากฎหมายได้ให้ความสำคัญกับการควบคุมเครื่องสำอางเป็นอย่างมาก
จึงต้องมีบทลงโทษทางอาญาแก่ผู้กระทำผิด ซึ่งผู้ที่เป็นผู้ประกอบการก็ควรจะศึกษากฎหมายฉบับดังกล่าวให้ดี
เพื่อที่จะได้ไม่ต้องถูกลงโทษ ส่วนผู้บริโภคอย่างเราๆ ก็ควรจะอ่านฉลากให้ละเอียดถี่ถ้วนก่อนที่จะตัดสินใจซื้อ
อย่างไรก็ตาม หากท่านสงสัยในตัวผลิตภัณฑ์จริงๆ ก็ยังไม่ควรรีบซื้อ ควรจะสอบถามไปยังกระทรวงสาธารณสุข
เภสัชกร หรือหมอที่มีความรู้ในด้านนี้ก่อนดีกว่านะครับ จะได้ใช้เครื่องสำอางกันได้อย่างสบายใจและปลอดภัยด้วย
ยุวสันต์ วิเวกเมธากร
(update 12 กันยายน 2005)
[ ที่มา..
นิตยสารบันทึกคุณแม่ ปีที่ 10 มีนาคม 2547 ]
|