 |
สิทธิการเช่าไม่ใช่ทรัพย์มรดก |
 |
|---|
สิทธิ
การเช่าทรัพย์สินถือว่าเป็นมรดกตกทอดถึงทายาทของผู้เสียชีวิตที่เป็นคู่สัญญาเช่าหรือไม่
เป็นประเด็นทั้งทางกฎหมายและอาจมองไปถึงข้อกำหนดในสัญญาที่ได้ระบุไว้อย่างไร
หากเป็นปัญหาเป็นคดีความจึงกลายเป็นประเด็นโต้แย้งว่าเป็นทรัพย์มรดกหรือไม่
สิ่งสำคัญต้องดูก่อนว่าหลักกฎหมายกำหนดไว้อย่างไรเป็นสำคัญ กล่าวคือ การเช่าทรัพย์สิน
เช่น ตึกแถวหรืออาคารพาณิชย์ไว้เพื่อประกอบกิจการค้าจะเป็นปัญหาที่โต้แย้งระหว่างทายาทเสมอ
เรื่องนี้หลักกฎหมายบัญญัติไว้ว่า "อันว่าเช่าทรัพย์สินนั้น คือ สัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้ให้เช่า
ตกลงให้อีกบุคคลหนึ่ง เรียกว่าผู้เช่าได้ใช้หรือได้รับประโยชน์ในทรัพย์สินอย่างใดอย่างหนึ่ง
ชั่วระยะเวลาอันมีจำกัด และผู้เช่าตกลงจะให้ค่าเช่าเพื่อการนั้น"
เรื่องพิพาทเกิดขึ้นภายในครอบครัวของตระกูลพ่อค้า ภายหลังที่นายใช้ เจริญมั่งคั่ง
ถึงแก่กรรมด้วยวัยชรา เขามีบุตรชาย 2 คน ชื่อนายโชติช่วง คนโต และนายเชิดชัยคนเล็ก
ตระกูลเจริญมั่งคั่งทำธุรกิจเกี่ยวกับกิจการขนส่งสินค้าทั่วประเทศ หลังจากถึงแก่กรรม
เขาทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินให้แก่บุตรชายทั้งสองคนละครึ่ง เพื่อป้องกันไม่ให้บุตรทั้งสองต้องฟ้องร้อง
เป็นคดีความกันภายหลังที่เป็นหลักทรัพย์ได้รับส่วนแบ่งเป็นมูลค่าคนละ 7 ล้านบาท
เงินสดรวมถึงพันธบัตรรัฐบาลได้รับคนละ 4 ล้านบาท
หากมองตามเจตนาของเจ้าของทรัพย์มรดกน่าจะไม่มีปัญหาอันใดที่พี่น้องคู่นี้จะต้องเป็นความกันในชั้นศาล
แต่เรื่องที่ไม่คาดคิดยอ่มเกิดขึ้นได้เสมอ น่าจะต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องปกติที่อาจเกิดขึ้นได้
เชิดชัยเป็นโจทก์ฟ้องโชติช่วงเป็นจำเลย อ้างความเป็นทายาทที่จะได้สิทธิจากสัญญาเช่าตึกแถวย่านปากคลองตลาด
จำนวน 5 ห้อง ซึ่งเป็นทรัพย์สินของนายรวย เจ้าของทรัพย์สินได้ต่อสัญญาเช่าให้แก่โชติช่วง
ภายหลังที่นายใช้ซึ่งเป็นคู่สัญญาเดิมถึงแก่กรรมลงและเป็นบิดาของผู้เช่ารายใหม่
เชิดชัยอ้างสิทธิตามพินัยกรรมว่าผู้ตายยกทรัพย์สินให้กับทายาทคนละครึ่ง เมื่อเป็นมรดกของบิดาเช่นนี้
จำเลยจะทำสัญญาเช่าแต่ลำพังคนเดียวย่อมไม่ถูกต้อง
ขอให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์จำเลยมีสิทธิการเช่าร่วมกัน จำเลยให้แปลกใจน้องชายว่าพูดไม่รู้เรื่อง
สิทธิการเช่าเป็นเรื่องเฉพาะตัวบุคคล จะอ้างว่าเป็นทรัพย์มรดกตกทอดกันได้อย่างไรกัน จึงให้การไปตามนั้น
และอ้างว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพื่อจะได้ไม่ต้องมีข้อโต้แย้งใดๆ
ในที่สุด ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่ทั้งสองฝ่ายนำสืบรับกันเป็นยุติว่า
ตึกแถวที่พิพาทกันนั้นเป็นกรรมสิทธิ์ของนายรวยผู้ให้เช่า เดิมนายใช้
เจ้ามรดกบิดาของทั้งสองฝ่ายเป็นผู้เช่า วันที่ 15 มกราคม 2523 นายใช้ตายลง
เจ้าของทรัพย์จึงได้ทำสัญญาให้จำเลยเป็นผู้เช่าตึกแถวที่พิพาทดังกล่าว
คดีมีปัญหาชั้นฎีกาว่าเมื่อผู้เช่าตึกแถวพิพาทตายแล้ว สิทธิการเช่าตึกแถว
พิพาทเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตายหรือไม่
พิเคราะห์ตามข้อเท็จจริงไม่ได้ความว่า ได้มีข้อตกลงกันไว้ในสัญญาเช่าตึกแถวพิพาทให้เจ้าของทรัพย์สิน
ในฐานะผู้ให้เช่าโอนสิทธิการเช่าตึกแถวพิพาทให้แก่ผู้หนึ่งผู้ใดในกรณีที่ใช้ผู้เช่าเดิมตาย
สิทธิการเช่าอันเป็นสิทธิเฉพาะตัวของใช้ผู้เช่าซึ่งมีอยู่ชั่วระยะเวลาอันมีจำกัดตามหลักกฎหมาย
ย่อมระงับไปไม่เป็นทรัพย์สินที่ตกทอดกันทางมรดก
นายรวยผู้เป็นเจ้าของตึกแถวพิพาทย่อมมีสิทธิที่จะใช้ดุลพินิจให้ผู้ใดเช่าต่อไปก็ได้
โจทก์จะอ้างว่าเป็นทายาทผู้เช่าเดิม และเรียกร้องให้โอนสิทธิการเช่าตึกแถวพิพาทให้โจทก์หาได้ไม่
โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยประเด็นอื่นต่อไป
ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์ชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
ข้อมูล : เทียบเคียงคำพิพากษาฎีกาที่ 100/2531
รศ.พิศิษฐ์ ชวาลาธวัช
(update 12 กันยายน 2005)
[ ที่มา..
หนังสือพิมพ์มติชน วันที่ 03 กันยายน พ.ศ. 2548 ปีที่ 28 ฉบับที่ 10038 ]
|