 |
ความน่าเชื่อถือ |
 |
|---|
ชีวิต
ของความเป็นจริง ปัญหาการคัดค้านการร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกระหว่างทายาทโดยธรรมย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ
แม้ว่าโดยหลักของกฎหมายแล้ว ความเป็นผู้จัดการมรดกจะทำอะไรตามใจไม่ได้ก็ตาม แต่ความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกันก็เป็นเรื่องสำคัญ
ดังที่กล่าวแต่ต้นแล้วว่าเป็นธรรมดาที่ย่อมเกิดปัญหาขึ้นได้
นายบดินทร์ คหบดีท้องถิ่น ทำธุรกิจค้าเครื่องมือก่อสร้างและวัสดุก่อสร้าง รวมถึงการรับเหมาก่อสร้างอาคารสถานที่ราชการ
ถิ่นฐานทำมาหากินอยู่ที่จังหวัดเลย ได้ถึงแก่กรรมด้วยวัยชรา มีบุตรธิดารวม 3 คน ก่อนเสียชีวิตได้ทำพินัยกรรมให้ลูกๆ
รวมทรัพย์มรดกมีมูลค่าพอสมควร ปัญหาการตั้งผู้จัดการมรดกน่าจะไม่มีถ้าไม่มีการคัดค้านเกิดขึ้น
นายดรุณ พี่ชายคนโตร้องขอเป็นผู้จัดการมรดก นายดนัย น้องชายร้องคัดค้าน
อ้างว่าผู้ร้องมีเจตนาที่จะเบียดบังและยักย้ายทรัพย์มรดกให้เป็น กรรมสิทธิ์ของเขาแต่เพียงผู้เดียว
ขอให้ยกคำร้อง แต่ศาลเห็นว่าทั้งสองฝ่ายเป็นทายาทโดยธรรม ภายหลังศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว
มีคำสั่งตั้งผู้ร้องและผู้คัดค้านร่วมกันเป็นผู้จัดการมรดกมีพินัยกรรมของเจ้ามรดก
เรื่องนี้ไม่ได้ลงเอยง่ายนัก ดรุณผู้ร้องอุทธรณ์ขอให้ตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการ มรดกแต่ผู้เดียว
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามทางนำสืบของทั้งสองฝ่ายรับกันว่า ผู้ร้องเป็นบุตรชายคนโต มีอายุ 42 ปี
ไม่มีความเสียหายใดๆ ทำหน้าที่ช่วยเจ้ามรดกซึ่งเป็นบิดาทำธุรกิจได้รับความไว้วางใจมาไม่น้อยกว่า 15 ปี
เป็นนักการเมืองท้องถิ่นมีตำแหน่งประธานสภาจังหวัดเลย เป็นพี่ชายที่ทายาทอีกคน
ซึ่งเป็นน้องสาวยอมรับยินยอมให้ผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดก
ส่วนผู้คัดค้านเป็นน้องชาย แม้จะสำเร็จการศึกษาสูงระดับปริญญาโทและทำงานในตำแหน่งหน้าที่
เป็นนายช่างใหญ่ของบริษัทเอกชนมีชื่อเสียงในกรุงเทพฯ ก็ดี แต่อายุเพียง 29 ปี เมื่อเทียบกับผู้ร้องแล้วเห็นว่า
ผู้ร้องมีประสบการณ์ในชีวิตและการทำงานมากกว่าผู้คัดค้าน
ข้อเท็จจริงในคดี กองมรดกผู้ตายมีแต่ผู้ร้องและผู้คัดค้านเพียงสองคนเท่านั้นที่ขอเป็นผู้จัดการมรดก
พฤติการณ์จากการนำสืบของทั้งสองฝ่ายปรากฏว่าเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน การจัดการมรดกคงไม่อาจถือเอาเสียงข้างมากได้
หากให้ผู้ร้องและผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกร่วมกันอาจจะไม่เป็นผลดีแก่กองมรดก ประกอบข้อนำสืบของผู้คัดค้านยังฟังไม่ชัดแจ้งว่า
ผู้ร้องมีเจตนาที่จะเบียดบังและยักย้ายทรัพย์มรดก หรือมีความประพฤติไม่ดีต่อกองมรดกของผู้ตาย
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ตามบท บัญญัติของกฎหมายบัญญัติว่า "ถ้ามีผู้จัดการมรดกหลายคน
การทำหน้าที่ของผู้จัดการมรดกนั้นต้องถือเอาเสียงข้างมาก เว้นแต่จะมีข้อกำหนดพินัยกรรมเป็นอย่างอื่น
ถ้าเสียงเท่ากัน เมื่อผู้มีส่วนได้เสียร้องขอก็ให้ศาลเป็นผู้ชี้ขาด"
ข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้นอาจทำให้ไม่เป็นผลดีแก่กองมรดกและแก่ทายาทของผู้ตาย
โดยเหตุนี้เห็นว่า ผู้ร้องจึงมีความเหมาะสมที่จะเป็นผู้จัดการมรดกมากกว่าผู้คัดค้าน ฎีกาของผู้ร้องฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่าให้ตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายแต่ผู้เดียว
ข้อมูล : เทียบเคียงคำพิพากษาฎีกาที่ 204/ 2530
รศ.พิศิษฐ์ ชวาลาธวัช
(update 13 มีนาคม 2006)
[ ที่มา...
หนังสือพิมพ์มติชน วันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549 ปีที่ 29 ฉบับที่ 10213 ]
|