 |
อย่าลืมให้สามียินยอม |
 |
|---|
ทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างสมรสด้วยเงินจากกระเป๋าฝ่ายสามีหรือภริยา แม้ว่าโฉนดที่ดินจะใส่ชื่อฝ่ายใดไว้ อย่าได้คิดว่าเป็นของผู้นั้นคนเดียว เพราะกฎหมายถือว่าเป็นสินสมรส
ครอบครัวใดมีสินสมรสด้วยน้ำพักน้ำแรง หากจะทำอะไรสักอย่าง เช่น ซื้อ ขาย แลกเปลี่ยน ขายฝาก ซึ่งอสังหาริมทรัพย์ จะต้องจัดการสินสมรสร่วมกัน หรือได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง หากสามีแอบไปขายที่ดินให้น้องชายราคาถูกๆ ภริยาอาจฟ้องให้ศาลเพิกถอนการขายสินสมรสนั้นได้ อย่าได้ริทำ
แอบทำพินัยกรรมยกสินสมรสให้ผู้อื่นได้หรือไม่ เรื่องกฎหมายบัญญัติไว้ว่า "สามีหรือภริยาไม่มีอำนาจทำพินัยกรรมยกสินสมรสที่เกินกว่าส่วนของตนให้แก่บุคคลใดได้" ถ้ามีการยกที่ดินให้ใครสักคนหนึ่งตามพินัยกรรม กฎหมายเขียนจำกัดให้ผูกพันเฉพาะส่วนของผู้นั้นมีสิทธิจะไปกินส่วนอีกฝ่ายไม่ได้ ตายไปแล้วหมดเรื่อง แต่คนเป็นยังยุ่งต่อ
การจัดการเกี่ยวกับสินสมรส บางครั้งอาจจำเป็นต้องฟ้องคดีกันเพื่อขับไล่ผู้เช่าที่และบังคับให้ผู้เช่ารื้อถอนอาคารบ้านที่อยู่อาศัย หากสามีงานยุ่งมากมีธุรกิจหรือติดราชการ ภริยารับอาสาฟ้องขับไล่ผู้เช่าเช่นนี้ จะต้องได้รับอนุญาตจากสามีหรือไม่ อนุญาตด้วยวาจาหรือพยักหน้าอนุญาต
ระวังฝ่ายจำเลยหรือผู้เช่าจะยิ้มเยาะเอาได้ ฝ่ายนั้นหาเหตุที่จะไม่ออกจากที่เช่าอยู่แล้ว ทำเป็นวัยรุ่นใจร้อนสั่งผู้รับเหมาไปรื้อตึกหรือบ้านให้ดูสัญญาเสียก่อน คุณอาจตกเป็นจำเลยอีกคดีหนึ่งก็ได้
หันมาดูกฎหมายกันก่อนดีกว่าเป็นไหนๆ จะได้ไม่หน้าแตก เสียเงิน หรืออาจติดคุก
กฎหมายบัญญัติไว้ว่า "การใดที่สามีหรือภริยากระทำ ซึ่งต้องรับความยินยอมร่วมกัน และถ้าการนั้นมีกฎหมายบัญญัติให้ทำเป็นหนังสือหรือให้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ความยินยอมนั้นต้องทำเป็นหนังสือ"
กรณีข้างต้นสามีบอกภริยาว่าไม่ว่างเธอช่วยเป็นธุระฟ้องขับไล่ผู้เช่าที่ให้ด้วย ถือว่าสามีอนุญาตแล้ว ให้ทนายความยื่นโนติ๊สให้ผู้เช่าที่ออกจากที่เช่า ผู้เช่าดื้อแพ่งอ้างไม่มีค่าขนย้ายหาเหตุต่างๆ ภริยาจึงให้ทนายฟ้องขับไล่
ผู้เช่าดีใจได้ถ่วงเวลาหาที่เช่าใหม่ จ้างทนายมือดีแก้ฟ้องว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเริ่มต้นก็หยิบยกเรื่องอำนาจฟ้องมาสู้และให้เหตุผลว่าเป็นหญิงมีสามีเป็นตัวเป็นตนจะยื่นฟ้องคดีทั้งทีจะต้องมีหนังสือยินยอมอนุญาตของสามีเป็นหลักฐาน สั่งสอนและให้การศึกษาอย่างภูมิใจ
ข้อเท็จจริงมีอยู่ว่าที่ดินแปลงนี้อยู่ในทำเลดี ซื้อมาขายต่อก็ได้กำไร ที่ดินอยู่ใกล้ถนนศูนย์การค้าย่านลาดพร้าว มีการซื้อขายต่อกันหลายเจ้าของ นางพนิทกาผู้ซื้อคนสุดท้ายด้วยเงิน 8 แสนบาทซึ่งต่อมาเป็นโจทก์ได้ยื่นฟ้องนายธีรพจน์และบริวารออกไปจากที่แปลงนั้น จำเลยสู้คดี
เรื่องนี้จบที่ศาลฎีกาจนได้ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารรื้อถอนบ้านที่อยู่อาศัยออกไปจากที่ดินพิพาทของโจทก์อย่าได้ชักช้า และให้ใช้ค่าเสียหายเป็นรายเดือน นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะรื้อถอนบ้านออกไป ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายและพิเคราะห์แล้วเห็นว่า การฟ้องคดีนี้แม้ว่าจะเป็นเรื่องจัดการสินสมรส โจทก์บกพร่องในเรื่องความสามารถเพราะยื่นฟ้องโดยไม่ได้รับความยินยอมจากสามี ก็ไม่มีผลถึงกับจะต้องยกฟ้อง เพราะเป็นเรื่องที่ศาลมีอำนาจสั่งให้แก้ไขบกพร่องดังกล่าวได้ตามกฎหมายอยู่แล้ว
ที่จำเลยฎีกาว่าสามีทำหนังสืออนุญาตให้ฟ้องคดีได้ ไม่มีผลย้อนหลังไปถึงวันที่โจทก์ฟ้องและศาลชั้นต้นสั่งรับไว้ต้องถือว่าเป็นเรื่องศาลให้แก้ไขข้อบกพร่องในเรื่องความสามารถและไม่จำเป็นที่โจทก์จะต้องระบุอ้างหนังสืออนุญาตไว้ในบัญชีพยาน
ศาลอุทธรณ์รับฟังเอกสารดังกล่าวและวินิจฉัยว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน
ข้อมูล : เทียบเคียงคำพิพากษาฎีกาที่ 1743/2527
รศ.พิศิษฐ์ ชวาลาธวัช
(update 3 มิถุนายน 2006)
[ ที่มา..
หนังสือพิมพ์มติชน วันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2549 ปีที่ 29 ฉบับที่ 10444]
|