 |
อ้างเหตุปฏิเสธฟ้องให้ชัด |
 |
|---|
มีการพูดเรื่องฟ้องหย่า แย่งลูก แบ่งสมบัติ ถอนผู้จัดการมรดกมาช้านาน วันนี้จะพูดเรื่องภริยาฟ้องคนอื่นบ้าง มีแง่มุมของจำเลยยกเป็นข้อต่อสู้คดีเมื่อตกเป็นจำเลย และโจทก์ทำหน้าที่รักษาสิทธิและผลประโยชน์จากทรัพย์สินที่ให้เช่า คนมีทรัพย์สินเรือกสวนไร่นาให้เช่าหรือผู้อยู่ในฐานะต้องเช่าทรัพย์คนอื่นเขาคงจะสนใจแน่
ประเด็นของเรื่องมีอยู่ว่าผู้เช่าที่ปลูกบ้านย่านสุขุมวิทไม่ยอมออกจากที่เช่า เมื่อสัญญาครบกำหนด ผู้ให้เช่าขอร้องก็แล้ว ขู่ก็แล้ว ให้ทนายความยื่นโนติสก็แล้ว พระเดชพระคุณท่านดื้อแพ่ง (ทำไมเราไม่พูดว่าดื้ออาญากันบ้าง) ทำเฉยเสีย บางครั้งเจอหน้าผู้ให้เช่าออกตัวว่ากำลังหาบ้านเช่าหลังใหม่ จะรีบขนย้าย เวลาล่วงไปเป็นเดือนก็ยังหาบ้านเช่าให้ถูกใจไม่ได้เสียที บางครั้งจนแต้มอ้างว่าไม่มีเงินจะขนย้ายสุดแล้วจะหาเหตุมาอ้าง
เรื่องทำนองนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ผู้มีตึกแถวบ้านให้เช่าย่อมรู้ดีที่ฝ่ายผู้เช่าอ้างไว้ ผู้ใดมีบ้านให้เช่าคงต้องทำใจล่วงหน้า และอาจต้องเตรียมเงินค่าทนายความฟ้องร้องขับไล่ผู้เช่าหัวหมอ หลายเรื่องที่เกิดขึ้นเหมือนกับนัดกันไว้ อาจพูดได้ว่าแปลกแต่จริง ผู้ให้เช่าที่ดินหรือบ้านเสียเงินค่าทนายฟ้องขับไล่ และต้องเสียค่าขนย้ายให้ผู้เช่ารีบออกจากบ้านเช่าโดยเร็ว ผู้เช่ายืดเวลาสู้คดีไปเรื่อยๆ รู้ว่าหากดึงให้ช้าเท่าใด ผู้ให้เช่าเสียหายมากเท่านั้น ไม่ขอบอกว่าเสียหายอtไรท่านใดสนใจลองถามผู้มีทรัพย์สินให้เช่าเอาเองก็แล้วกัน
มีเรื่องเล็กๆ เกิดขึ้นกล่าวคือ นางจำนรรจา ภริยาข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ระดับผู้อำนวยการรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่งเป็นโจทก์ยื่นฟ้องขับไล่นายฉลาดชายและบริวารออกจากที่เช่าและเรียกค่าเสียหายเป็นรายเดือนนับแต่วันฟ้อง จนกว่าจำเลยและบริวารออกจากที่พิพาท
ผู้เช่าที่สู้ราคาค่าเช่าย่านสุขุมวิทย่อมมีพวกพ้องที่ปรึกษา ดูพยานหลักฐานฝ่ายโจทก์แล้วนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ การฟ้องคดีภริยาเป็นโจทก์ไม่ใช่สามีไม่มีหนังสือให้ความยินยอมของสามีมาพร้อมคำฟ้องเลินเล่อสิ้นดี เขาคิดเองเออเองว่าชนะคดีแน่ อาจคิดเลยเถิดไปว่าอาจได้ค่าขนย้ายเป็นเงินหลักแสนแม้สัญญาจะไม่มีบ่งบอกไว้ก็ตาม จะจริงเท็จไม่อาจยืนยันกันได้คิดกันเองก็แล้วกัน
ถ้าเป็นตามที่ผู้เช่ารายนี้ฉลาดสมชื่อก็ดี จะได้รู้กันว่าคนที่มีทรัพย์สินให้เช่ามูลค่าเป็นล้านเสียค่าโง่ผู้เช่า ผู้เช่าและผู้ให้เช่าจะได้อาศัยเรื่องนี้ไว้เล่นแง่และป้องกันการแพ้คดีรายต่อไป
ผู้เช่าผิดหวัง ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้ว จึงสั่งงดสืบพยานพิพากษาตามฟ้องศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยคือ ฟ้องโจทก์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และคดีต้องมีการชี้สองสถานหรือไม่
ปัญหาแรกจำเลยฎีกาว่า คำฟ้องโจทก์ไม่ทราบได้ว่า ที่ดินพิพาทเป็นสินส่วนตัวหรือสินสมรสของโจทก์ อ้างหลักกฎหมายบัญญัติไว้ว่า ถ้ากรณีเป็นที่สงสัยว่าทรัพย์สินอย่างหนึ่งเป็นสินสมรสหรือมิใช่ ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นสินสมรส เมื่อโจทก์ไม่ได้แนบหนังสือยินยอมของสามีมาพร้อมคำฟ้อง ฟ้องของโจทก์จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ศาลฎีกาเห็นว่า การที่หญิงมีสามีฟ้องคดีโดยต้องมีหนังสือให้ความยินยอมของสามีเป็นกรณีเฉพาะการฟ้องคดีเกี่ยวกับสินสมรส เพราะตามหลักกฎหมายสามีภริยาเป็นผู้จัดการสินสมรสร่วมกัน แต่ถ้าเป็นสินส่วนตัวแล้ว ภริยาย่อมฟ้องคดีได้โดยลำพัง
การที่จำเลยให้การปฏิเสธฟ้องของโจทก์นั้น โดยมิได้อ้างเหตุแห่งการนี้ว่า ที่พิพาทเป็นสินสมรส ที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่าไม่มีปัญหาที่จะต้องทำตามที่กฎหมายบัญญัติให้ทำเป็นหนังสือ (ฟ.พ.พ.ม.1479) จึงถูกต้องแล้ว จำเลยจะอ้างข้อสันนิษฐานโดยมิได้ให้การชัดแจ้งหาได้ไม่ (ป.พ.พ.ม.1474 วรรคท้าย)
ปัญหาข้อสุดท้ายมิใช่บังคับให้ชี้สองสถานทุกคดีไป การชี้สองสถานจะกระทำให้การพิจารณาคดีง่ายเข้า คดีพอวินิจฉัยได้แล้ว จึงงดชี้สองสถานและงดสืบพยานโจทก์จำเลย ที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่าศาลชั้นต้นมีอำนาจกระทำได้ไม่เป็นการขัดต่อกฎหมาย (ป.ว.พ.ม.182) จึงถูกต้องแล้ว ฎีกาของจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน
ข้อมูล : เทียบเคียงคำพิพากษาฎีกาที่ 4054/2528
รศ.พิศิษฐ์ ชวาลาธวัช
(update 3 มิถุนายน 2006)
[ ที่มา..
หนังสือพิมพ์มติชน วันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 10661]
|