 |
ทำการอันจำเป็น |
 |
|---|
มีประเด็นโต้แย้งกันถึงหน้าที่ของผู้จัดการมรดกในเรื่องสิทธิและหน้าที่แค่ไหน เพียงใด เพราะกฎหมายบัญญัติไว้กว้างๆ ว่า "มีสิทธิและหน้าที่ที่จะทำการอันจำเป็น"
โจทก์ผู้ให้เช่าตึกแถวและในฐานะผู้จัดการมรดกได้ทำการฟ้องจำเลยผู้เช่าตึกแถวย่านถนนเจริญกรุง เพราะผิดสัญญาเช่า ให้จำเลยและบริวารออกจากตึกที่ให้เช่า และส่งมอบตึกที่เช่าในสภาพเรียบร้อย เรียกค่าเสียหายตามระเบียบ
ผู้เช่าโต้แย้งว่า ผู้ให้เช่าไม่ใช่เจ้าของตึกที่ให้เช่าเป็นของมูลนิธิตามพินัยกรรมของเจ้ามรดก ค่าเสียหายที่เรียกมานั้นสูงกว่าค่าเช่าตึกพิพาท โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารออกจากตึกพิพาทตามฟ้อง และให้ใช้ค่าเสียหาย 5,000 บาท และนับจากวันฟ้องจนกว่าจะออกจากตึกเช่าให้ใช้ค่าเสียหายอีกเดือนละ 10,000 บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า ประการแรกจะต้องวินิจฉัยว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยตามสัญญาเช่าที่อ้างเอกสารมาหรือไม่
ข้อเท็จจริงปรากฏตามสัญญาว่า ผู้ให้เช่าอยู่ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางระวิเจ้ามรดก อีกทั้งโฉนดที่ดินซึ่งตึกพิพาทตั้งอยู่ตามเอกสารการจดทะเบียนที่อ้างมานั้นมีชื่อโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ และยังไม่ได้โอนไปให้มูลนิธิการกุศลตามพินัยกรรมของเจ้ามรดก จำเลยเองก็ทำสัญญาเช่าตึกพิพาทจากโจทก์ผู้ให้เช่า
เมื่อกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินยังไม่ได้โอนไปยังมูลนิธิที่พินัยกรรมระบุไว้เช่นนี้ จึงต้องถือว่าการจัดการทรัพย์มรดกดังกล่าวยังไม่เสร็จสิ้นไป โจทก์ยังมีสิทธิและหน้าที่ที่จะทำการอันจำเป็นเพื่อให้การเป็นไปตามคำสั่งแจ้งชัดหรือโดยปริยายแห่งพินัยกรรม เพื่อจัดการมรดกตามที่กฎหมายบัญญัติไว้
ทั้งนี้ การทำหน้าที่ของโจทก์ย่อมหมายถึงการจัดการทรัพย์มรดกที่โจทก์ทำสัญญาให้จำเลยเช่าไปด้วย ผู้ให้เช่าจึงไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ให้เช่า เมื่อผู้เช่าผิดสัญญา ผู้ให้เช่าย่อมฟ้องผู้เช่าซึ่งเป็นคู่สัญญากับตนได้ ผู้เช่าจะโต้แย้งว่าผู้ให้เช่าไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ให้เช่าหาได้ไม่
โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยได้ ฎีกาของโจทก์ในประเด็นนี้ฟังขึ้น
ตามฎีกาของจำเลยให้มีการกำหนดจำนวนค่าเสียหายขอให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นสืบพยานจำเลยใหม่ เพราะศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยาน ที่ศาลชั้นต้นสั่งดังกล่าวเพราะพยาน 2 ปากที่จะขอสืบคงเป็นไปตามที่ทนายจำเลยแถลง พยาน 2 ปากที่จะนำสืบตามที่จำเลยแถลงเป็นแนวเดียวกับที่นำสืบไปแล้ว ย่อมไม่ทำให้ผลคดีในประเด็นข้อนี้เปลี่ยนแปลงไป จึงไม่มีเหตุที่จะย้อนสำนวนไปสืบพยานที่ศาลชั้นต้นสั่งงดไปแล้วอีก
ฟังได้ว่าจำเลยผิดสัญญาเช่าตามฟ้องไม่คืนทรัพย์ที่เช่าคืนภายหลังครบกำหนดตามสัญญาแล้ว ย่อมถือว่าการกระทำเช่นนั้นของจำเลยเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ โจทก์ย่อมเสียหาย ส่วนความเสียหายที่โจทก์ได้รับนั้นจำเป็นหรือไม่ที่จะต้องกำหนดตามอัตราค่าเช่าที่ทำกันไว้ในสัญญาเสมอไปหรือไม่นั้น
ศาลย่อมมีอำนาจที่จะกำหนดความเสียหายให้ตามควรแก่พฤติการณ์และความเป็นจริงได้ เมื่อตึกพิพาทที่เช่านั้นเป็นตึก 5 ชั้น ตั้งอยู่ติดถนนเจริญกรุง ในกรุงเทพมหานคร ชั้นล่างใช้ทำการค้า ค่าเช่าตามสัญญาเดือนละ 200 บาท นับว่าค่อนข้างต่ำ ขณะฟ้องคดีได้มีการเช่าไม่ต่ำกว่า 5 ปี ค่าเงินบาทลดลง ค่าครองชีพสูงขึ้น เห็นสมควรกำหนดให้โจทก์นับแต่วันครบกำหนดสัญญาถึงวันฟ้องเป็นเงิน 2,000 บาท หลังวันฟ้องอีกเดือนละ 4,000 บาท
พิพากษากลับให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากตึกเช่า และส่งมอบตึกที่เช่าคืนโจทก์ ให้ใช้ค่าเสียหายนับแต่วันครบสัญญาเช่าถึงวันฟ้อง 2,000 บาท และให้ใช้ค่าเสียหายเดือนละ 4,000 บาท นับแต่วันที่ 3 มีนาคม 2525 อันเป็นวันถัดจากวันฟ้องแก่โจทก์จนกว่าจะส่งมอบตึกที่เช่าคืน
ข้อมูล : เทียบเคียงคำพิพากษาฎีกาที่ 2881/2528
รศ.พิศิษฐ์ ชวาลาธวัช
(update 14 สิงหาคม 2007)
[ ที่มา..
หนังสือพิมพ์มติชน วันที่ 04 สิงหาคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 10738]
|