 |
ยกพลตีกัน เจ็บและตายใครรับผิดชอบ |
 |
|---|
เดือนสิงหาคม กันยายน ปีนี้ฝนไม่ค่อยตก กรุงเทพฯ จึงร้อนเป็นไฟประกบกับเหตุการณ์บ้านเมืองที่น่าวิตก เรียกว่าแทบไม่ต้องออกไปทำกินกันเลย ดูข่าวกันจนเป็นโรคจิตทางการเมือง
แต่ทำไมคน ต.จ.ว. จึงเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ เต็มไปหมด เช้าวันหนึ่งเปิดโทรทัศน์ ข่าวว่าตีหนึ่งมีคนออกจากฐานที่มั่นอยู่แห่งหนึ่งยกพลไปตีคนอีกฝ่าย จนทั้งสองฝ่ายได้รับบาดเจ็บและตายหนึ่งคน รัฐบาลประกาษภาวะฉุกเฉิน ห้ามชุมนุมเกินกว่าห้าคน ห้ามสื่อเสนอข่าวทำให้แตกแยก ผู้ยกพลย้ายที่ตั้งไปจังหวัดใกล้เคียงเพราะที่นั่นไม่มีประกาศฉุกเฉิน
คนตายไม่มีญาติไปรับศพ ใครจะเป็นคนค่าทำศพ ต่อมาญาติผู้ตายไปขอรับศพ ไปแจ้งความเอาผิดกับคนที่ทำให้ตาย
วันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2551 หนังสือพิมพ์มติชน รายงานข่าวว่า อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ให้สัมภาษณ์ผู้ได้รับความเสียหายทางร่างกายและทรัพย์ทั้งสองกลุ่มไปแจ้งความและนำหลักฐานไปที่กรมฯ ให้ต่ายค่าเสียหายตาม พ.ร.บ. ค่าตอบแทนผู้เสียหายและจำเลยในคดีอาญา จึงต้องเข้าที่ประชุมคณะกรรมการ ก่อนเพื่อชี้ว่าจะจ่ายให้เท่าไร
ใครจะได้รับค่าเสียหายบ้างต้องเปิดกฏหมายดูความหมายกันก่อน ตามประมวลกฏหมายวิธีพิจารณาความอาญา เขียนไว้ใน
มาตรา 2 (4) ผู้เสียหาย หมายความถึงบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำผิดฐานใดฐานหนึ่ง
รวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอำนาจจัดการแทนได้ดั่งบัญญัติไว้ในมาตรา 4, 5 และ 6
มาตรา 5 บุคคลเหล่านี้จัดการแทนผู้เสียหายได้
(1) ผู้แทนโดบชอบธรรมหรือผู้อนุบาลเฉพาะแต่ในความผิดซึ่งได้กระทำต่อผู้เยาว์หรือผุ้ไร้ความสามารถซึ่งอยู่ในความดูแล
(2) ผู้บุพการี ผู้สืบสันดาน สามีหรือภริยา เฉพาะแต่ในความผิดอาญาซึ่งผู้เสียหายถูกทำร้ายถึงตายหรือบาดเจ็บจนไม่สามารถจะจัดการเองได้...
เมื่อพนักงานอัยการฟ้องคดีแล้ว ผู้เยหายคดีอาญามีสิทธิร้องขอเข้าไปเป็นโจทก์ร่วมและแต่งตั้งทนายความเข้ามาทำหน้าที่แทนได้
ถ้าผู้เยหายถึงแก่ความตาย กฎหมายให้บุคคลตามมาตรา 5 ดำเนินคดีได้ เมื่อคดีสิ้นสุดผู้เสียหายชนะ ผู้เสียหายหรือบุคคลตามมาตรา 5
ฟ้องคดีแพ่งเรียกค่าสินไหมทดแทนได้ แต่ถ้าผู้เสียหายในคดีอาญาเป็นผู้ก่อให้เกิดความผิดเอง
ย่อมหมดสิทธิ์ในการเป็นโจทก์ร่วมและไม่สามารถฟ้องแพ่งได้
ตัวอย่าง หญิงยอมให้ผู้อื่นทำให้ตนแท้งลูก ถือว่าหญิงนั้นมีส่วนร่วมในการกระทำผิดด้วย จึงมิใช่ผู้เสียหายตาม ป.วิ. อาญามาตรา 2 (4)
และแม้หญิงนั้นจะถึงแก่ความตายลง บิดาของหญิงนั้นก็ไม่มีสิทธิที่จะฟ้องผู้ที่ทำให้หญิงแท้งลูกได้
ตัวอย่าง การที่ผู้ตายและจำเลยต่างขับรถด้วยความเร็ว และต่างขับรถเข้าไปในช่องเดินรถของอีกฝ่ายหนึ่ง
ฟังได้ว่าขับรถดดยประมาททั้งสองฝ่าย เมื่อผู้ตายมีส่วนกระทำผิดด้วย ผู้ตายจึงมิใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย
ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 2 (4) โจทก์ร่วมซึ่งเป็นบิดาผู้ตายย่อมไม่มีอำนาจเข้าร่วมเป็นโจทก์ตามมาตรา 30
ค่าเสียหายเรียกได้ตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 420 ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี
แก่ร่งกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิด จำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น
ลองเทียบเคียงคดีอาญาตัวอย่างข้างต้น กับคดีแพ่งตัวอย่างดังต่อไปนี้ดูว่าจะได้ค่าเสียหายหรือไม่
ตัวอย่าง เหตุรถชนเกิดจากความประมาทเลินเล่อของโจทก์และจำเลยที่ 3
เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์มีส่วนประมาทเลินเล่อร่วมด้วยไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน จำเลยที่ 3 จึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์
เป็นอันยุติว่าผู้ใดก่อให้เกิดความเสียหาย ผู้นั้นไม่มีสิทธิเค่าเสียหาย ครานี้มาดูค่าทดแทนของเหยื่อสองฝ่ายที่ไปร้องขอเงินค่าตอบแทน
จะได้หรือไม่
พ.ร.บ. ค่าตอบแทนผู้เสียหายฯ ผู้เสียหายคืออะไร
มาตรา 3 ผู้เสียหาย หมายความว่า บุคคลซึ่งได้รับความเสียหายถึงแก่ชีวิตหรือร่างกายหรือจิตใจ
เนื่องจากการกระทำความผิดทางอาญาของผู้อื่น โดยตนมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดนั้น
ความหมายใกล้เคียงกันคือ ผู้เสียหายต้องไม่มีส่วนเกี่ยข้องกับการกระทำความผิดจึงจะได้รับ
ค่าตอบแทน คือ เงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดที่ผู้เยหายมีสิทธิได้รับเพื่อตอบแทนความเสียหายที่เกิดขึ้นจากหรือเนื่องจากการกระทำความผิดอาญาของผู้อื่น
ถ้าพฤติกรรมแห่งคดี ฝ่ายที่มีคนตายไปตีอีกฝ่ายหนึ่งก่อน คงจะเรียกว่าผู้เยหายไม่ได้ เทียบตัวอย่างคดีข้างต้น แต่ถ้ามีหัวหน้าสั่งให้ไป ผั่งการต้องรับผิดทางอาญาและทางแพ่งคือต้องชดใช้ค่าเสียหายให้กับผู้บาดเจ็บและตาย ถ้ารัฐไม่จ่ายค่าตอบแทนให้เพราะไม่ใช่ผู้เยหาย คนนั้นคงต้องฟ้องเรียกจากผู้สั่งการ ส่วนคนที่เสียชีวิตถ้ามีลูกชอบด้วยกฎหมาย มีพ่อแม่ มีคนที่ต้องอุปการะเลี้ยงดู ที่ยังมีชีวิตอยู่ บุคคลเหล่านี้ฟ้องเรียกค่าเสียหายได้ แต่ถ้าไม่มี มีแต่พี่ น้อง ลูกของพี่ หรือน้อง ลูกของพี่หรือน้อง ที่อยู่ด้วยกัน บุคคลฝ่ายหลังนี้ฟ้องเรียกค่าเสียหายไม่ได้ค่ะ
มณีรัตน์ (มยุรี) ภัคดุรงค์
(update 23 มิถุนายน 2010)
[ ที่มา..
นิตยสารหมอชาวบ้าน ปีที่ 30 ฉบับที่ 354 ตุลาคม 2551 ]
|