 |
ไม่ใช่หนังสือสละมรดก |
 |
|---|
หากมนุษย์เราเคารพความจริง ยึดถือความถูกต้องเป็นสำคัญ ข้อโต้แย้งเรื่องการแบ่งสันปันส่วนในทรัพย์มรดก
อาจไม่เกิดขึ้นเป็นคดีความในชั้นศาลได้ แม้ว่าจะใช้ความเหนือกว่าและแยบยลเพียงใด
ย่อมไม่อาจปฏิเสธสิทธิของทายาทแต่ละคนได้
ปัญหาทำนองนี้เกิดขึ้นทั้งๆ ที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น ในที่สุดความเป็นพี่น้องร่วมสายโลหิตของเจ้ามรดกอาจมองหน้ากันไม่ได้
พงศ์ และ พนิดา สามีภริยามีอาชีพรับราชการต่างกระทรวง ครองรักครองเรือนอย่างมีความสุขไม่ทะเยอทะยานโลภโมโทสัน
ภายหลังที่พงศ์ถึงแก่กรรมด้วยวัยชรา ทิ้งมรดกซึ่งช่วยกันทำมาหาได้กับภริยาคู่ชีวิตคือที่ดิน 300 ตารางวา
ย่านเสนานิเวศน์ พหลโยธินมูลค่าหลายล้านบาทและเงินสดในธนาคารเล็กน้อย ดังนั้น
มูลค่าทรัพย์มรดกครึ่งหนึ่งเป็นสินสมรสจึงเป็นของพนิดาภริยา และที่เหลือ พนิดายังมีสิทธิ์ได้ส่วนแบ่งเท่าๆ
กันกับบุตรอีก 2 คน คือ โพธิ์ และ พันธ์
แม่และลูกๆ ยังคงอยู่ร่วมกันในครอบครัวเดียวกันโดยยังคงรักษาทรัพย์มรดกร่วมกันไม่มีการแบ่งปันตามสิทธิ์ที่พึงมี
อีก 3 ปีต่อมาพนิดาเสียชีวิต ทรัพย์มรดกที่ดินและบ้านหลังนั้นจึงเป็นมรดกที่ทุกคนมีสิทธิ์ได้ส่วนแบ่งเท่ากัน
เกิดปัญหาฟ้องร้องระหว่างพี่น้องอ้างสิทธิ์ในทรัพย์มรดกจนได้
โพธิ์เป็นโจทก์ฟ้องพันธ์เป็นจำเลย อ้างว่าจำเลยกับพวกได้สมคบกันปลอมพินัยกรรมของมารด
ายกทรัพย์มรดกของบิดาทั้งหมดให้แก่จำเลยแต่ผู้เดียว และนำพินัยกรรมปลอมร้องขอศาล
จนศาลมีคำสั่งแต่งตั้งให้จำเลยนำคำสั่งศาลไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์มรดกทั้งหมดเป็นของจำเลย
โดยรู้อยู่ว่าตนมีสิทธิ์เฉพาะส่วนในทรัพย์มรดกเท่านั้น
จำเลยให้การว่าภายหลังบิดาถึงแก่กรรม โพธิ์ได้สละมรดกโดยการแสดงเจตนาชัดแจ้งเป็นหนังสือ
ยกที่ดินทั้งแปลงให้แก่มารดา เมื่อมารดาถึงแก่กรรมได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์มรดกทั้งหมดให้แก่จำเลยแต่เพียงผู้เดียว
โจทก์ไม่มีสิทธิ์ที่จะได้รับมรดกอีกต่อไป ขอให้ยกฟ้อง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า : ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังยุติว่า ทั้งพงศ์และพนิดาเป็นบิดามารดาของโจทก์และจำเลย
พงศ์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างซึ่งกำลังพิพาทกัน ปัญหาจึงอยู่ที่ว่าโจทก์ได้สละมรดกภายหลังที่พงศ์บิดาถึงแก่กรรมแล้ว
โจทก์ พนิดามารดา และจำเลยต่างอาศัยอยู่ในบ้านและที่ดินของพงศ์ตลอดมา
ทั้งนี้ โดยหลักกฎหมายแล้ว การสละมรดกนั้นจะต้องแสดงเจตนาชัดแจ้งเป็นหนังสือมอบไว้แก่พนักงานเจ้าหน้าที่
หรือทำเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ
ปัญหาในคดีนี้มีแต่เพียงเอกสารเป็นหนังสือตามที่กล่าวอ้างเป็นหนังสือสละมรดกของโจทก์หรือไม่
จากคำเบิกความของผู้อำนวยการเขต พยานโจทก์ได้ความว่าการสละมรดกตามกฎหมาย
ถ้าทำในกรุงเทพมหานครต้องทำต่อหน้าผู้อำนวยการเขต ส่วนในต่างจังหวัดจะต้องทำต่อหน้านายอำเภอ
เกี่ยวกับการสละมรดกนี้กระทรวงมหาดไทยได้ออกเป็นกฎกระทรวงโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 1672
แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ไว้เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2481 ข้อ 14, 15
และพระราชบัญญัติระเบียบการบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2495 กำหนดอำนาจหน้าที่ของเจ้าพนักงาน
ผู้มีอำนาจไว้อันได้แก่ผู้อำนวยการเขตหรือนายอำเภอดังที่ผู้อำนวยการเขตเบิกความไว้นั่นเอง
แต่ตามเอกสารที่กล่าวอ้างมาในคดีโจทก์ได้ทำหนังสือสละมรดกไว้ให้แก่เจ้าพนักงานที่ดิน
ซึ่งถือมิได้ว่าเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายดังกล่าวข้างต้น
ตามหนังสือเอกสารที่อ้างมานั้นจึงถือว่ามิใช่หนังสือสละมรดก
พิพากษายืนตามคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสอง ให้เพิกถอนการจดทะเบียนนิติกรรมการรับโอนที่พิพาทดังกล่าวข้างต้น
หากจำเลยไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนา
ทราบแล้วเปลี่ยน เมื่อสละมรดกถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนดวิธีการไว้เกิดเปลี่ยนใจจะถอนการสละมรดกหาได้ไม่
ข้อมูล : เทียบเคียบคำพิพากษาฏีกาที่ 1250/2538
รศ.พิศิษฐ์ ชวาลาธวัช
(update 16 พฤศจิกายน 2004)
[ ที่มา...
หนังสือพิมพ์มติชน วันที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2547 ปีที่ 27 ฉบับที่ 9737 ]
|