 |
อ้างสิทธิครอบครองทรัพย์มรดก |
 |
|---|
ผู้จัดการมรดกต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ตั้ง หากคิดแค่ช่วงชิงเพื่อให้ได้มาซึ่งการถูกแต่งตั้งผู้จัดการตามคำสั่งศาล
หาได้ไม่หากรับหน้าที่แล้วผู้นั้นต้องไม่ละเลยภาระหน้าที่ ที่กฎหมายบังคับให้ต้องทำการแบ่งปันทรัพย์มรดกให้แก่ทายาท
มิฉะนั้นอาจถูกถอนผู้จัดการมรดกได้
นายพิน เจ้าของร้านเครื่องเสียงอยู่แถวบ้านหม้อ ย่านใจกลางเมืองกรุงเทพฯ
เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจภายหลังภริยาหนึ่งปีต่อมา มีบุตรชายหญิงสอง คนๆ หนึ่งชื่อ พรชัย
ทำหน้าที่ช่วยพินด้านการตลาดขายส่งสินค้าให้ลูกค้าทั่วประเทศ อีกคนชื่อ เพ็ญ แต่งงานกับพ่อค้าในละแวกนั้น
ทำหน้าที่สั่งสินค้า การเงิน และ ดูแลขายปลีกหน้าร้าน
ทรัพย์มรดกของนายพินมีทั้งเงินสดในธนาคาร อาคาร ร้านค้า และ ที่ดิน
พรชัยเป็นผู้จัดการมรดกตามคำสั่งศาลภายหลักที่พ่อถึงแก่กรรม ได้ทำการแบ่งเงินสดให้แก่น้องสาวคนเดียว
และที่ดินบางแปลงจนเป็นที่พอใจ ยกเว้นแต่ร้านขายเครื่องเสียง 2 คูหา
พรชัยได้จดทะเบียนรับโอนที่ดินมรดกของผู้ตายเป็นของตนแต่เพียงผู้เดียว
ไม่แบ่งปันแก่ทายาทอื่นคือเพ็ญซึ่งเป็นน้องสาวร่วมบิดามารดาเดียว
เพ็ญทวงสิทธิในฐานะเป็นทายาทโดยธรรมคนหนึ่งย่อมได้ส่วนแบ่งปันตามส่วนคนละครึ่งกับพี่ชาย
พรชัยปฏิเสธที่จะแบ่งปันให้น้องสาวและอ้างงว่าพ่อหรือผู้ตายได้ยกที่ดินที่เป็นร้านค้าสองห้องให้แก่เขา
ตั้งแต่พ่อยังมีชีวิตอยู่ตัวพรชัยเองได้ทำหน้าที่บริหารดูแลร้านค้าครอบครองโดยสงบเปิดเผยด้วยเจตนา
เป็นเจ้าของเป็นเวลากว่าสิบปีแล้ว
ภายหลังที่พ่อเสียชีวิตธุรกิจร้านค้าเครื่องเสียงดำเนินไปด้วยดี เพ็ญเพิ่งจะมาอ้างสิทธิภายหลังที่พ่อเสียชีวิตเกินกว่า 1 ปี
ไม่เข้าใจว่าได้รับการยุแหย่จากผู้หวังดีประสงค์ร้ายหรือเปล่า
น้องสาวอ้างว่าเกรงใจพี่ชายแต่ครั้นเวลาผ่านไปนานพอสมควร จึงได้ทวงถาม และ
ถามหลายครั้งแล้วแต่ได้รับการปฏิเสธจากพี่ชายอ้างว่าพ่อมอบร้านค้าให้เป็นกรรมสิทธิ์ของพรชัยแต่เพียงผู้เดียว
ขณะที่พ่อยังมีชีวิตอยู่ พ่อเพียงแต่พูดถึงว่าหากพ่อเสียชีวิตให้ทั้งสองคนช่วยกันดูแลร้านค้าให้เจริญรุ่งเรือง
อย่าทะเลาะกันธุรกิจจะเสียหาย
พรชัยยังคงยืนยันไม่แบ่งปันทรัพย์สินคือร้านค้าเครื่องเสียงตามที่เพ็ญน้องสาวทวงสิทธิ
เพ็ญจำใจต้องฟ้องศาลให้ถอนพรชัยออกจากการเป็นผู้จัดการมรดก
พรชัยให้การตามข้อเท็จจริงที่กล่าวข้างต้น
คดีดังกล่าวต่อสู้กันถึงชั้นศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า : ทั้งสองฝ่ายเป็นพี่น้องบุตรของผู้ตายเจ้ามรดก
หลังจากจำเลยได้เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายตามคำสั่งศาลแล้ว ได้จดทะเบียนรับมรดกที่พิพาทเฉพาะส่วนของผู้ตาย
มาเป็นของจำเลยแต่เพียงผู้เดียว คดีมีข้อวินิจฉัยว่ามีเหตุถอนจำเลยออกจากการเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายหรือไม่
จำเลยฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่า จำเลยได้กรรมสิทธิ์ที่พิพาทเพราะได้ครอบครองทรัพย์สินของเจ้ามรดกไว้โดยความสงบ
และโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลาสิบปีย่อมได้กรรมสิทธิ์ตามกฎหมายหรือไม่
และจำเลยในฐานะเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายได้จดทะเบียนรับมรดกที่พิพาทมาเป็นของจำเลย
แต่เพียงผู้เดียวเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
เห็นว่า การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาจำต้องถือตามข้อเท็จจริง
ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวน
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า ก่อนถึงแก่กรรมผู้ตายไม่ได้ยกที่พิพาทให้แก่จำเลย
จำเลยครอบครองที่พิพาทต่อมาภายหลังจากที่ผู้ตายถึงแก่กรรม จึงเป็นการครอบครองแทนทายาทของผู้ตาย
แม้จำเลยจะครอบครองมานานเกินกว่า 10 ปี ดังที่จำเลยฎีกาจำเลยก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ตามกฎหมาย
ส่วนจำเลยในฐานะเป็นผู้จัดการมรดกไปจดทะเบียนรับโอนที่พิพาทซึ่งเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตาย
มาเป็นของจำเลยแต่เพียงผู้เดียวโดยไม่แบ่งปันให้แก่ทายาทอื่น ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นการกระทำโดยชอบด้วยกฎหมาย
ดังที่จำเลยฎีกาเช่นกัน
การกระทำดังกล่าวเป็นการละเลยไม่กระทำตามหน้าที่ของผู้จัดการมรดก
คดีมีเหตุถอนจำเลยจากการเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย
พิพากษายืน
ข้อมูล : เทียบเคียงคำพิพากษาฎีกาที่ 34142537
รศ.พิศิษฐ์ ชวาลาธวัช
(update 16 พฤศจิกายน 2004)
[ ที่มา...
หนังสือพิมพ์มติชน วันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2547 ปีที่ 27 ฉบับที่ 9716 ]
|