 |
เจตนาโดยพินัยกรรม |
 |
|---|
แม้ว่าจะเป็นภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายมีใบทะเบียนสมรสมีบุตรด้วยกันกับเจ้ามรดกมิได้หมายความว่า
จะมีสิทธิตามกฎหมายรับมรดกในฐานะทายาทโดยธรรมเสมอไปให้ดูการแสดงเจตนาของผู้ตาย
ซึ่งเป็นเจ้าของทรัพย์มรดกที่กำหนดการเผื่อตายในเรื่องทรัพย์สินหรือในการต่างๆ
อันจะก่อให้เกิดผลบังคับได้ภายหลังเสียชีวิตแล้วเป็นสำคัญ
เกิดมาเป็นคนย่อมดิ้นรนสร้างฐานะหรือทำงานเพื่อตำแหน่งหน้าที่และสะสมทรัพย์สินเงินทองไว้ใช้
เมื่อจำเป็นแก่ภาระที่ต่างกันไป
บางคนตายไปพร้อมกับหนี้สินแต่บางคนไม่อาจตายนอนตาหลับมัวห่วงแต่ทรัพย์สินที่ผู้รับมรดก
จะช่วยกันเองทำให้งอกเงินได้อย่างไร
แน่นอนที่สุดสัจจะแห่งชีวิตคือความตายและตายไปย่อมเหลือแค่ผงกระดูก
ดังนั้น ปัญหาเรื่องการตั้งผู้จัดการมรดก การแบ่งสันปันส่วนทรัพย์สินของเจ้ามรดกกฎหมายถือว่า
เป็นคำสั่งสำคัญที่ผู้รับคำสั่งต้องเคารพเจตนานั้นตามพินัยกรรมและให้ถือว่าคำสั่งครั้งสุดท้ายเป็นสำคัญ
และจะมีผลใช้บังคับต่อเมื่อผู้ทำพินัยกรรมถึงแก่ความตาย
ส่วนผู้รับพินัยกรรมจะสนใจรับหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ข้อความในพินัยกรรมจึงต้องมีความชัดเจนเพื่อป้องกันความยุ่งยากที่จะเกิดขึ้นกับคนที่ยังมีชีวิตอยู่อาจหมายถึงบิดามารดา
สามีภริยา บุตรชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ดูข้อเท็จจริงจากคำสั่งของผู้ตายหรือเจ้ามรดกเป็นสำคัญ
ชาติเชื้อ ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ กระทรวงเกษตรฯ มีภริยาคนแรกชื่อฉัตรแก้วจดทะเบียบสมรสกันมีบุตรชายหนึ่งคนชื่อ
ฉัตรทอง
ชีวิตครอบครัวไม่ค่อยจะราบรื่นนักและมีเหตุที่ไม่อาจอยู่ด้วยกันได้ เขาขอหย่าแต่ภริยาไม่ยอม
ชาติเชื้อจึงยกบ้านซึ่งเป็นสินสมรสให้ลูกชายและเงินสดจำนวนหนึ่งให้แก่ภริยา
และมีข้อความบันทึกระบุข้อความสำคัญต่างฝ่ายต่างถือไว้คนละฉบับ
ต่อมาชาติเชื้อแต่งงานกับวงหทัยนักแสดงบนจอแก้วของสถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่ง
มีลูกด้วยกันหนึ่งคนเป็นหญิงชื่อ ดวงหทัย
ทั้งคู่อยู่ด้วยกันจนลูกสาวโตเป็นสาวเรียนจบมหาวิทยาลัยและทำงานที่องค์การระหว่างประเทศแห่งหนึ่ง
จนวาระสุดท้ายแห่งชีวิตของชาติเชื้อ
วงหทัยเป็นผู้จัดการมรดกตามคำสั่งศาลตามที่ได้ร้องขอ
อีก 3 เดือนต่อมา ฉัตรแก้วได้ทำการคัดค้านอ้างว่าเป็นภริยาชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย
สาเหตุที่คัดค้านเพราะว่านับแต่ศาลมีคำสั่งตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดก
ผู้ร้องในฐานะผู้จัดการมรดกได้ละเลยไม่กระทำการตามหน้าที่โดยมิได้ทำบัญชีทรัพย์มรดกของผู้ตาย
ให้แล้วเสร็จภายใน 1 เดือนนับแต่วันที่ศาลตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกและมิได้ขอขยายระยะเวลาต่อศาล
ทรัพย์มรดกที่ผู้ร้องทำบัญชียื่นต่อศาลนั้นเป็นสินสมรสระหว่างผู้ตายกับผู้คัดค้าน
ผู้ร้องได้อาศัยคำสั่งศาลไปเบิกถอนเงินจากธนาคาร และผู้ร้องได้โอนทรัพย์มรดกประเภทอสังหาริมทรัพย์
ใส่ชื่อผู้ร้องในฐานะส่วนตัว แต่ผู้ร้องมิได้แบ่งเงินและอสังหาริมทรัพย์อันเป็นสินสมรสของผู้ตายกับผู้คัดค้าน
ให้แก่ผู้คัดค้านซึ่งมีสิทธิ์ได้รับกึ่งหนึ่งของทรัพย์มรดกทั้งหมด ผู้ร้องปฏิบัติผิดหน้าที่ของผู้จัดการมรดก
ก่อให้เกิดความเสียหายให้แก่ผู้คัดค้านซึ่งเป็นทายาทโดยธรรมในฐานะคู่สมรสอย่างร้ายแรง
หากยังคงให้เป็นผู้จัดการมรดกอาจเกิดความเสียหายแก่ทรัพย์มรดกและผู้คัดค้านรวมทั้งทายาทอื่นของผู้ตายได้
จึงขอให้มีคำสั่งถอนผู้ร้องออกจากการเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายและมีคำสั่งตั้งชายชาญ
น้องชายร่วมบิดาเดียวกันกับผู้ตายเป็นผู้จัดการมรดก
สุดท้าย ศาลฏีกาวินิจฉัยว่า ผู้ร้องอ้างพินัยกรรมของผู้ตายตามพยานหลักฐานตามเอกสารนั้น
ระบุยกทรัพย์มรดกทั้งหมดของผู้ตายให้แก่ผู้ร้องและบุตรสาวของผู้ร้อง
สำหรับผู้คัดค้านเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย แต่เป็นผู้ไม่มีสิทธิ์รับมรดกตามพินัยกรรม
เห็นว่า การที่ผู้ร้องมิได้ทำบัญชีทรัพย์มรดกรายนี้ก็เพราะเหตุที่ผู้ร้องเห็นว่า
ผู้ตายทำพินัยกรรมยกทรัพย์มรดกทั้งหมดให้แก่ผู้ร้องและบุตรของผู้ร้องเท่านั้น
และทรัพย์มรดกที่มีอยู่ทั้งหมดก็ถูกระบุไว้ในพินัยกรรมเอกสารหมาย จ.4
ดังนั้น การไม่จัดทำบัญชีมรดกในกรณีเช่นนี้ ยังไม่เป็นเหตุให้ต้องถอนผู้ร้องจากการเป็นผู้จัดการมรดก
ข้อมูล : เทียบเคียงคำพิพากษาฏีกาที่ 6386/2537
รศ.พิศิษฐ์ ชวาลาธวัช
(update 19 พฤศจิกายน 2004)
[ ที่มา...
หนังสือพิมพ์มติชน วันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2547 ปีที่ 27 ฉบับที่ 9730 ]
|