 |
สิทธิบุตรนอกกฎหมาย |
 |
|---|
มีหลายเรื่องที่ซุกซ่อนอยู่ในโลกของความเป็นจริงที่ไม่อาจนำมาพูดกันเว้นแต่มีความจำเป็นบางประการ
เช่นสิทธิของบุตรนอกกฎหมายที่พ่อ และแม่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกันทั้งๆ ที่เด็กคนนั้น
คือสายโลหิตของผู้ให้กำเนิด บางครั้งต้องทนสภาพอยู่ในสังคมอย่างเจ็บปวด
เกิดมาขาดพ่ออยู่กับแม่เหมือนกับครอบครัวอื่น
ผู้เป็นพ่อจึงต้องมีศีลธรรมอย่างเพียงพอที่จะแสดงความรับผิดชอบเพื่อให้เด็กคนนั้นเป็นผู้สืบสันดาน
เหมือนกับบุตรชอบด้วยกฎหมาย และมีสิทธิรับมรดกในฐานะทายาทคนหนึ่ง
นายธนา เจ้าของสวนทุเรียนจังหวัดนนทบุรีตกหลุมรักนางสาวโสภีสาวสวยอำเภอนครชัยศรี
ทั้งคู่อยู่ด้วยกันฉันสามีภริยาโดยไม่ได้จดทะเบียนเพราะพ่อแม่ฝ่ายชายไม่พอใจฝ่ายหญิงเพราะฐานะเป็นเหตุ
โสภีตั้งครรภ์ได้ 4 เดือนไม่อาจทนสภาพกีดกัน และกดดันได้จึงออกจากบ้านไปพักที่บ้านนางสมปองพี่สาว
และนายสุชนพี่เขยจนคลอดลูกชาย
ระหว่างนั้นธนาเฝ้าเวียนไปหาโสภี และลูกชาย เขาได้แต่ขอร้องให้โสภี
และลูกกลับไปอยู่ด้วยกันแต่โสภีไม่ยินยอม
ภายหลังได้ส่งเด็กชายเธียรบุตรชายอายุได้ 3 ขวบให้ธนาผู้เป็นพ่ออุปการะเลี้ยงดูด้วยความอาลัย
แต่ต้องตัดใจแม้ว่าจะรักและห่วงลูกปานใดก็ตามเพราะต้องไปทำงานต่างจังหวัดเลี้ยงชีพ
แม้ว่าธนาจะทัดทานแต่โสภีไม่ฟัง
ธนาเลี้ยงลูกชายได้ไม่เกิน 6 เดือนเกิดปัญหาระหว่างพ่อแม่ และน้องๆ จึงขอร้องให้พี่สาว
และพี่เขยของโสภีดูแลแทน จนกระทั่งเธียรโตเป็นหนุ่ม ธนายังครองตัวเป็นโสด
และถึงแก่กรรมด้วยวัยไม่เกิน 60 ปี ทิ้งทรัพย์สินทั้งสวนทุเรียน ที่ดิน
เงินสดไว้เป็นกองมรดกมูลค่าไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท
จึงเกิดปัญหาการร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกระหว่างเธียร บุตรนอกสมรส และน้องชายอีก 2 คนชื่อ ทนง
และ ทำนุส่วนบิดามารดาถึงแก่กรรมแล้ว
ประเด็นจึงอยู่ที่ว่าผู้ใดมีสิทธิรับมรดก และศาลเห็นควรตั้งผู้ใดเป็นผู้จัดการมรดก
ฝ่ายหนึ่งเป็นลูกชายที่เกิดจากพ่อ และแม่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน อีกฝ่ายหนึ่งเป็นน้องชายร่วมบิดามารดาเดียวกัน
ต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิที่จะขอเป็นผู้จัดการมรดกและรับมรดกของผู้ตาย
ที่สุดแล้ว ศาลฎีกาวินิจฉันว่า หากพิสูจน์ได้ว่าผู้คัดค้านที่ 1 เป็นผู้สืบสันดานของผู้ตาย
ย่อมเป็นทายาทลำดับ 1 ทนงน้อยชายของผู้ตายในฐานะผู้ร้องย่อมไม่มีสิทธิในทรัพย์มรดก
ข้อเท็จจริงนำสืบเพิ่มเติมจากเรื่องที่กล่าวถึงข้างต้น ผู้ร้องยอมรับว่าผู้คัดค้านที่ 1 เป็นทายาทของผู้ตาย
มีพฤติการณ์ให้รู้ว่าขณะธนายังมีชีวิตอยู่นั้นได้แนะนำผู้คัดค้านที่ 1 ต่อบุคคลอื่นว่าเป็นลูกชาย
ได้ให้การศึกษาอุปการะเลี้ยงดูส่งเสียค่าเล่าเรียนจนจบมหาวิทยาลัย
ทั้งระบุไว้ในใบสมัครสมาชิกฌาปนกิจสงเคราะห์ว่าผู้คัดค้านที่ 1 เป็นบุตรให้เป็นผู้รับประโยชน์ด้วยเช่นนี้
ถือได้ว่าผู้ตายได้รับรองผู้คัดค้านที่ 1 เป็นบุตรแล้ว ย่อมถือว่าเป็นผู้สืบสันดานเหมือนกับบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย
และมีสิทธิรับมรดกของผู้ตายซึ่งเป็นบิดาได้ตามกฎหมาย โดยไม่จำต้องจดทะเบียนรับรอง
และไม่จำต้องขอให้ศาลสั่งแสดงว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายเสียก่อน
ผู้ร้องเป็นน้องชายของผู้ตายเป็นทายาทลำดับ 3 จึงไม่มีสิทธิในทรัพย์มรดกของผู้ตาย
และถือไม่ได้ว่าผู้ร้องมีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดกของผู้ตายด้วย
ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิร้องขอตั้งผู้จัดการมรดกของผู้ตาย
ส่วนที่ผู้ร้องฎีกาอ้างว่า เป็นผู้มีสิทธิรับทรัพย์มรดกตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่ทำกับผู้คัดค้านทั้งสอง
จึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดกของผู้ตายนั้น เห็นว่าสัญญาดังกล่าวเป็นข้อตกลงระหว่างผู้ร้องกับผู้คัดค้านทั้งสองด้วยกันเอง
และทำขึ้นหลังจากผู้ตายถึงแก่กรรมไปแล้ว ไม่เกี่ยวข้องกับการมีสิทธิรับมรดกแต่อย่างใด
ไม่ก่อให้ผู้ร้องมีส่วนได้เสียตามกฎหมายผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิร้องขอตั้งผู้จัดการมรดกในคดีนี้
พิพากษายืนตามคำพิพากษาของศาลล่าง
ข้อมูล : เทียบเคียงคำพิพากษาฎีกาที่ 2231/2537
รศ.พิศิษฐ์ ชวาลาธวัช
(update 19 พฤศจิกายน 2004)
[ ที่มา...
หนังสือพิมพ์มติชน วันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2547 ปีที่ 27 ฉบับที่ 9723 ]
|