 |
พินัยกรรมพิพาท |
 |
|---|
ตราบใดที่มนุษย์เรายังเชื่อในเรื่องศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ปัญหาเรื่องการโต้แย้งในเรื่องสิทธิ
ย่อมมีข้อถกเถียงที่ต้องหาข้อยุติกันในระดับใดระดับหนึ่ง มีทั้งระดับปัจเจกชนกันเองหรือปัจเจกชนกับรัฐ
สิทธิของประชาชนจึงเป็นสิทธิที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติที่จะต้องได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย
ไม่มีผู้ใดอยู่ค้ำฟ้าได้แม้ว่าผู้นั้นจะมีอำนาจล้นฟ้าก็ตาม นี่คือสัจพจน์ที่พิสูจน์ความหมายในตัวของมันเอง
ชีวิตมนุษย์เราสั้นนักเมื่อตายไปแล้วจะเหลืออะไรนอกจากทรัพย์สินเงินทองให้แก่ลูกหลานและคนใกล้ชิด
บางครอบครัวมาลงเอยที่การทวงสิทธิ์ในฐานะทายาทของเจ้ามรดกอาจอยู่ในฐานะ "โดยธรรม"
หรือ "ผู้รับพินัยกรรม" ก็ตามที
คดีความที่ปรากฏขึ้นสู่ศาลต่างโต้เถียงกันถึงสิทธิ์ที่จะได้รับทรัพย์มรดกหรือสิทธิ์ที่จะแบ่งปันกันในทรัพย์มรดกเป็นประจำ
ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับเจตนาของเจ้ามรดกเป็นสำคัญ และบางครั้งอาจเกี่ยวกับแบบพินัยกรรมว่าสมบูรณ์
มีผลตามที่กฎหมายบัญญัติหรือไม่ดังข้อพิพาทที่จะนำมาเสนอ
ประสงค์เป็นหม้ายภริยามาหลายฤดูฝน มีลูกสาวหนึ่งคน ชื่อ ประกายศรี แต่งงานมีครอบครัวกับนักธุรกิจครอบครัว
มีอันจะกินเป็นฝั่งฝา ประสงค์ได้แบ่งที่ดิน เงินสด ให้เธอบางส่วนก่อนที่จะมีครอบครัวมูลค่าหลายล้านบาท
ต่อมาประสงค์พบรักใหม่ชื่อ ทองทา หัวหน้ากลุ่มธุรกิจขายตรงบริษัทมีชื่อ อายุต่างกันสองรอบ
อายุเป็นเพียงตัวเลขเท่านั้นเอง เรื่องของหัวใจ ความรัก ความเข้าใจนำไปสู่ความผูกพัน
ทั้งสองจึงแต่งงานกันเงียบๆ มีมิตรใกล้ชิดมาร่วมงานพอสมควรตามประสาคนมีเงิน
อยู่ด้วยกันฉันสามีภริยาแต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกันตราบจนมัจจุราชมาพรากชีวิตของเขา
ประสงค์สิ้นลมหายใจในอ้อมกอดของทองทาเธอร้องไห้ปิ่มจะขาดใจตามเขาไปสู่โลกใหม่ที่ไม่มีใครอยากจะไปจุดนั้น
ภายหลังจากจัดการงานศพเสร็จสิ้น ทองทาไปรับโอนที่ดินแถวอำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี
รวม 5 โฉนด 100 ไร่ มูลค่ารวมหลายสิบล้านบาทเงินสดเล็กน้อยไม่กี่ล้านบาท ก่อนประสงค์จะล้มป่วยครั้งสุดท้าย
ได้โอนทรัพย์สินบางส่วนให้แก่ประกายศรีลูกสาวคนเดียวไปแล้ว เขาคิดว่าหลังจากที่ได้จากโลกนี้ไปแล้ว
คนที่อยู่ข้างหลังน่าจะไม่ต้องมีปัญหาทะเลาะแย่งชิงทรัพย์มรดกให้เป็นขี้ปากชาวบ้าน
ลูกสาวได้ส่วนแบ่งในส่วนของเขาและแม่ของเธอ ส่วนทองทาควรจะได้ส่วนแบ่งในฐานะที่เป็นคู่ชีวิตจวบจนเขาสิ้นลมหายใจ
แต่แล้วปัญหาก็เกิดขึ้นจนได้ ประกายศรีเป็นโจทก์ฟ้องทองทาเป็นจำเลยอ้างว่าพินัยกรรมที่ทองทาไปโอนทรัพย์มรดก
ไม่ใช่พินัยกรรมของเจ้ามรดก และเป็นพินัยกรรมฉบับที่ไม่สมบูรณ์เนื่องจากไม่มีลายมือชื่อของกรรมการอำเภอ
ลงลายมือชื่อกำกับในส่วนที่มีการตกเติมข้อความในพินัยกรรม ขอให้เพิกถอนพินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมือง
ให้การจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินมรดกเป็นโมฆะ และให้ทรัยพ์มรดกที่ดินทั้ง 5 แปลงกลับคืนสู่สภาพเดิม
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์มิได้ฎีกาโต้แย้งว่า พินัยกรรมข้อ 1 (2) มีการตกเติมคำว่า "ที่ดิน" ลงไปโดยนายสกล
กรมการอำเภอไม่ได้ลงชื่อกำกับ โจทก์ฎีกาข้อเดียวว่าพินัยกรรมพิพาทไม่สมบูรณ์ตามที่กฎหมายบัญญัติว่า
"การขูดลบ ตก เติม หรือการแก้ไขเปลี่ยนแปลงอย่างอื่นซึ่งพินัยกรรมนั้นย่อมไม่สมบูรณ์ เว้นแต่ผู้ทำพินัยกรรม พยาน
และกรมการอำเภอจะได้ลงลายมือชื่อกำกับไว้ "
เห็นว่า ข้อความตามบทบัญญัติดังกล่าวหมายความถึงเฉพาะส่วนการขูด ลบ ตก เติม
หรือการแก้ไขเปลี่ยนแปลงอย่างอื่นเท่านั้น ไม่ได้หมายความถึงพินัยกรรมทั้งฉบับเมื่อพินัยกรรมพิพาททำโดยชอบแล้ว
แม้การขูดลบ ตกเติม หรือการแก้ไขเปลี่ยนแปลงจะไม่สมบูรณ์ก็ไม่มีผลกระทบถึงพินัยกรรมทั้งฉบับ
ข้อความเดิมในพินัยกรรมย่อมสมบูรณ์ใช้บังคับได้
พิพากษายืนตามคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองที่พิพากษายกฟ้องโจทก์
ข้อมูล : เทียบเคียงคำพิพากษาฎีกาที่ 1619/2538
รศ.พิศิษฐ์ ชวาลาธวัช
(update 4 ธันวาคม 2004)
[ ที่มา...
หนังสือพิมพ์มติชน วันที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2547 ปีที่ 27 ฉบับที่ 9744 ]
|