|
8 ปีก่อน แม่บ้านชาวอเมริกันจากเมืองซาคราเมนโต ชื่อแพ็ต เชอร์รี่ มีน้ำหนักตัวถึง 165 ปอนด์
ขณะนั้นเธออายุได้ 37 ปี และกำลังวิตกอย่างยิ่งกับน้ำหนักตัวที่มากเกิน เมื่อเทียบกับความสูงขนาด 5 ฟุต 3 นิ้ว ของเธอ
2 ปีให้หลัง น้ำหนักของแพ็ตลดฮวบถึง 40 ปอนด์ ลงมาอยู่ที่ 125 ..คุณคงสงสัย เอ๊ะ เธอเป็นโรคหรือเปล่า?
คำตอบคือ ไม่ใช่ แพ็ตยังสมบูรณ์แข็งแรงดีทุกประการ ..ถ้าอย่างนั้น ก็คงคุมน้ำหนักเข้ม อดอาหารสุดชีวิตล่ะสิ?..
ไม่ใช่ อีกเหมือนกัน แพ็ตไม่ได้เข้าคอร์สไดเอ็ทของปรมาจารย์สำนักไหนเช่นกัน
แต่รูปร่างผอมเพรียว และไขมันส่วนเกินหายไปได้ ก็เพราะ..
" ฉันนั่งสมาธิวันละ 2 ครั้ง" !!
นั่งสมาธิแล้วน้ำหนักลด??!! ฟังดูคล้ายกับโฆษณาขายของทางรายการโทรทัศน์รอบดึก
เพื่อนแก้เหงาของคนนอนไม่หลับที่ไม่รู้จะทำอะไร
แต่การที่แพ็ตยังคงมีสุขภาพแข็งแรงมาจนถึงทุกวันนี้ แม้เมื่อวัยล่วงเลยมาถึง 45 ปีแล้ว
และยังคงเอวเล็กๆ บนร่างน้อยๆ กับน้ำหนักตัว 125 ปอนด์เอาไว้ได้ คือข้อพิสูจน์ว่า การนั่งสมาธิหรือการบริหารจิต
เป็นทางเลือดใหม่ที่ได้ผลสำรับการลดน้ำหนักจริง!
ปฐมบทแห่งการลดน้ำหนักของแพ็ต เริ่มต้นขึ้นเมื่อเธอเริ่มเข้าเป็นสมาชิกของกลุ่ม "กินให้หายเครียด"
พร้อมกันนั้นก็ได้เข้ารับการแนะนำจากนักบำบัดผู้หนึ่ง
แพ็ตหวนรำลึกถึงความหลังในครั้งนั้นว่า มันทำให้เธอร้องไห้อย่างหนัง
ขณะที่ต้องต่อสู้กับความทรงจำอันเลวร้ายในวัยเด็ก ซึ่งเธอกักเก็บมันไว้ในส่วนลึกของจิตใจมาเนิ่นนาน
สภาพจิตใจของเธอค่อยๆ ดีขึ้น แพ็ตเริ่มเรียนรู้ที่จะเข้าใจตนเองอย่างถ่องแท้
และเริ่มที่จะหาทางจัดการกับชีวิตของตัวเองได้พร้อมกันนั้น เธอก็พบว่านั่งสมาธิทุกวันทำให้จิตใจของเธอสงบและผ่อนคลาย
เธอจึงเลิกนิสัย "กินดับทุกข์" ตั้งแต่บัดนั้น
และนั่นเองเป็นเหตุผลที่อธิบายว่า ทำไมเราจึงสามารถใช้การนั่งสมาธิเป็นทางเลือกหนึ่งในการลดน้ำหนักได้
แทนที่จะต้องอด งด หรือจำกัดอาหาร อย่างที่เคยรับรู้และมักจะปฏิบัติกันมา
ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านให้ความเห็นว่า ไดเอ็ทกันหนักขนาดไหนก็ไม่มีประโยชน์หรอก
ถ้าคุณไม่สามารถกำจัดเรื่องรกรุงรังที่อยู่ในใจและสมองให้ได้เสียก่อน! |
|
ปากกับใจ
ตรงกันจริงหรือ ?
เรามักจะเชื่อกันอยู่ว่า ความเครียดเป็นภัยมหันต์ต่อทั้งสุขภาพกายและจิต นั่นคือ
ผู้ที่ตกอยู่ในภาวะสั่นคลอนทางจิตใจ มักกินไม่ค่อยจะได้ นอนก็ไม่ค่อยจะหลับ
นั่นก็อาจจะจริงสำหรับคนกลุ่มหนึ่ง
แต่ยังมีคนอีกกลุ่ม ซึ่งหาทางระบายความเครียดด้วย "การกิน" และคำว่า กิน ในที่นี้ ไม่ได้หมายความเพียงการรับประทานพอให้อิ่มเพื่อให้ร่างกายมีพลังงานสะสมเอาไว้สู้ชีวิตต่อ
แต่พวกเขาใช้อาหารเป็นเครื่องมือปลดเปลื้องภาวะทุกข์ทางจิตใจ นั่นก็หมายความว่า
ถ้าเครียดน้อย
ก็อาจจะกินแค่นิดหน่อย แต่ถ้าเครียดจัด
จะลงเอยด้วยการฟาดเรียบ!
แอนเน็ตต์ คอร์นบลุม นักข่าวโต๊ะสุขภาพจาก ivillage.com รายงานไว้ในบทความเชื่อ Eat Fat, Be Happy ว่า วันหนึ่งเธอกับเพื่อนสาวไปรับประทานมื้อเย็นกันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งใกล้บ้าน เบื้องหน้าของทั้งคู่มีพาสต้าพร้อมมอสซาเรลลา และสลัดมะเขือเทศแถมด้วยขนมปังและเครื่องจิ้มที่มีน้ำมันมะกอกเป็นส่วนประกอบสำคัญ หลักๆ แล้ว อาหารที่วางเรียงรายรอให้ตักเข้าปากบนโต๊ะของแอนเน็ตต์และเพื่อนในวันนั้น มีปริมาณคาร์โบไฮเดรตและไขมันสูงลิบ
แอนเน็ตต์เรียกมันว่า "comfort foods" หรือ อาหารบรรเทาจิต
ยาแก้เครียดที่ได้ผลชะงัด
เพื่อนของแอนเน็ตต์บอกกับเธอว่า " เวลาเซ็งจัด หรือรู้สึกหดหู่สิ้นหวังมากๆ ฉันจะยิ่งกินอาหารที่มีไขมันเยอะๆ
เพราะมันช่วยให้ฉันรู้สึกดีขึ้น แถมยังอร่อยอีกต่างหาก แต่พอกินเสร็จแล้วกลับรู้สึกแย่กว่าเก่า
เพราะสำนึกว่า ไม่น่ากินเข้าไปเลย"
มีการวิจัยกันว่า สถานการณ์ที่ตึงเครียดจะเป็นตัวเร่งเร้าให้คนอยากรับประทานมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารจำพวกที่เราแต่ละคนเคยนิยมกินกันเมื่อครั้งยังเป็นวัยรุ่น เช่น
มักกะโรนีกับชีส ไอศกรีม หรือช็อคโกแลต
หลังเกิดเหตุการณ์ก่อวินาศกรรมที่ตึกเวิลด์เทรด กรุงนิวยอร์ค ในวันที่ 11 กันยายน
ปีที่ผ่านมา ซึ่งสั่นคลอนความมั่นคงทางจิตใจของชาวอเมริกันอย่างหนัก สำนักวิจัย เอซี นีลสัน
สำรวจพบว่า ยอดจำหน่ายขนมขบเคี้ยวและของกินเล่นตามร้านค้าต่างๆ ในอเมริกา เพิ่มสูงขึ้นถึงร้อยละ 12
|